บทอ่านเรื่องที่ 1 : ประวัติของกาแฟ
ประวัติแรกเริ่มของกาแฟนั้นเล่ากันมาว่า มีพระชาวอียิปต์พวกหนึ่งลี้ภัยเข้าไปอยู่ในประเทศอบิสสิเนียและหากินด้วยการเพาะปลูกรวมถึงเลี้ยงแพะแกะไปตามเรื่อง วันหนึ่งพระหัวหน้าได้รับรายงานจากพระลูกวัดว่าพวกแพะแกะไม่ยอมนอน ยืนตาแข็งไปตามๆ กัน พระหัวหน้าแปลกใจมากแต่นึกสงสัยว่าพวกมันคงกินของผิดสำแดงเข้าไป เพราะเคยเห็นสัตว์พวกนี้กินใบไม้ชนิดหนึ่ง พระหัวหน้าจึงทดลองกินพืชนั้นดูบ้างปรากฎว่าพระหัวหน้าก็นอนไม่หลับด้วยเหมือนกัน และพืชนั้นก็คือกาแฟนี่เอง
ถิ่นเดิมของกาแฟนั้นกล่าวกันว่าเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของทวีปแอฟริกา แต่มารู้จักกันที่แหลมอาระเบีย ตามเรื่องเล่าว่าชาวอาระเบียเป็นผู้นำเอากาแฟจากอบิสสิเนียมาปลูกอีกทีหนึ่ง แต่ปรากฎว่ากาแฟของอาระเบียมีรสอร่อย กลิ่นหอมมีชื่อเสียงมาก อาระเบียเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟโดยพบว่าช่วงศตวรรษที่ 15 มีร้านกาแฟตั้งขึ้นในเมืองใหญ่ๆ แทบทุกเมือง พวกที่จะไปไหว้พระที่นครเมกกะจะต้องผ่านอาระเบีย แน่นอนคงต้องแวะร้านกาแฟกันบ้างในไม่ช้าความนิยมเรื่องกาแฟจึงแพร่หลายไในหมู่ชาวมหะหมัด การกินสมัยนั้นคือการเอาใบกาแฟมาชงดื่มแบบชา พวกที่นิยมดื่มก่อนคือนักปราชญ์กับนักบวชต่อมาคนอื่นเห็นดีด้วยจึงพากันนิยมดื่มตาม
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ส. พลายน้อย. (2554). พฤกษนิยาย. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์.
บทอ่านเรื่องที่ 2 : มนุษย์คือใคร
มนุษย์นั้นสามารถนิยามได้หลายทาง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่ามนุษย์ ว่า "สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล, สัตว์ที่มีจิตใจสูง, คน" ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับนักปราชญ์ทั่วโลกทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ได้ให้คำนิยามมนุษย์ไว้ในทำนองเดียวกัน เช่น มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ หรือสัตว์ที่อยู่เหนือสัตว์อื่นทั้งมวล อย่างเช่น อริสโตเติล (Aristotle, 384 ถึง 322 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ปราชญ์ชาวกรีกได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับมนุษย์ไว้ 3 ข้อคือ
1.มนุษย์คือสัตว์ที่มีเหตุผล (Man is rational animal)
2.มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักคิด (Man is thinking animal)
3.มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Man is social animal)
ทั้งสามข้อเป็นจุดเด่นเหนือสัตว์อืื่นของมนุษย์และเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับทั่วไปในปัจจุบัน แต่หากจะกล่าวตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มนุษย์คือสัตว์ชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) เช่นเดียวกับสัตว์โลกชนิดอื่นๆ มนุษย์ถูกจำแนกประเภทตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammals) จัดอยู่ในอันดับวานรหรือตระกูลสัตว์ไพรเมต (Primates) วงศ์ลิงใหญ่ (Hominidae) สกุลโฮโม (Homo) สายพันธุ์เซเปี้ยนส์ (Sapiens) และมีสายพันธุ์ย่อยคือเซเปี้ยนส์ (Sapiens) มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า โฮโมเซเปี้ยนส์ (Homo Sapiens) หรือ โฮโมเซเปี้ยนส์ เซเปี้ยนส์ (Homo Sapiens Sapiens) คำนี้เป็นภาษาละติน มีความหมายว่าผู้มีสติปัญญา (Wise man) ซึ่งเป็นคำนิยามที่นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกันว่าเป็นคำนิยามถึงเผ่าพันธุ์ที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดในโลกอย่างเห็นภาพชัดเจนที่สุด
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ปิยะโชค ถาวรมาศ. (2557). มนุษย์มาจากไหน. กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์.
บทอ่านเรื่องที่ 3 : ตามหานครทองคำ เอลโด ราโด
บทอ่านเรื่องที่ 3 : ตามหานครทองคำ เอลโด ราโด
El
Dorado เป็น ภาษาสเปนเดิมมีความหมายว่า “มนุษย์ทองคำ”
แต่ในเวลาต่อมาก็เปลี่ยนเป็น “นครทองคำ” ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำและอัญมณีที่มีค่า เป็นสถานที่ที่ตกแต่งด้วยทอง ทุกอย่างทำด้วยทอง แม้แต่การประกอบพิธีกรรมหัวหน้าเผ่าจะต้องเปลือยกายลงไปชุบตัวในบ่อทอง แล้วจึงจะประกอบพิธีกรรมต่างๆได้
ซึ่งพอตกค่ำหัวหน้าเผ่าก็จะชำระร่างกายไปกับกระแสน้ำเพื่อพัดเอาทองออกไป
ในตำนานเล่าว่าเรื่องของนครทองคำนี้มาจากอินเดียแดงเผ่าชิบชาเชื้อสายมูอิส บนเทือกเขาแอนดีส เมืองแห่งนี้ทุกบ้านตกแต่งด้วยทอง
ทุกอย่างทำด้วยทอง แม้แต่พิธีกรรมสำคัญของพวกเขาอย่างพิธีบวงสรวงเทวีแห่งทะเลสาบกัวตาวีตา
กษัตริย์มูอิสกาจะต้องทาตัวด้วยยางไม้จนทั่วแล้วลงไปเกลือกในผงทองแล้วโดดลง ในน้ำในทะเลสาบล้างผงทองตามตัว
แล้วโยนเครื่องทองและอัญมณีลงทะเลสาบ ประเพณีดังกล่าวถูกยกเลิกในปี 1500 แต่มันก็ได้กระตุ้นให้นักสำรวจชาวสเปนและชาวยุโรปเข้ามาสำรวจและยึดคลองดินแดนหลายแห่งในทวีปอเมริกาใต้ (รวมไปถึงการปล้นทองคำจากชาวพื้นเมืองหลายพื้นที่) แม้แต่โคลัมบัสก็เคยได้ยินเรื่องนี้และพยายามตามหาเหมือนกัน
(เมื่อปี 1502) โดยคาดว่านครทองคำนี้อยู่ห่างจากแม่น้ำโอรีโนโกในเวเนซุเอลา เขาใช้เวลาเดินทาง 10 วัน แต่ก็ล้มเหลว ต่อมาก็มีนักสำรวจหลายคนพยายามค้นหานครที่ว่านั้นในอเมริกาใต้
โดยครอบคลุมถึงแม่น้ำอเมซอนเลยทีเดียว หากแต่คนที่รอดกลับมานั้นมีไม่กี่คนและแล้วชื่อของเอลโดราโดก็กลายเป็นนิยายและวรรณกรรมหลายเรื่อง นอกจากนั้นยังถูกตั้งเป็นชื่อเมืองและสถานทีในอเมริกาใต้และอเมริกาหลายแห่ง เช่น
เอลโดราโดเคาน์ตีในแคลฟอร์เนียและรัฐอาร์คันซอ
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ทีนวาไรตี้. (2557). 10 อันดับดินแดนมหัศจรรย์ในตำนาน. [ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก teen mthai.com/variety/78111.thml. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
อย่ามองเป็นแค่เรื่องสนุกปากหรือสะใจโง่ๆ เลิกซะพฤติกรรม
บูลลี่ ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ การกลั่นแกล้ง (Bullying) หมายถึง พฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม โดยพฤติกรรมนั้นเป็นความตั้งใจกระทำทางกายหรือทางคำพูดให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ความเจ็บปวด เพื่อให้ตนเองรู้สึกมีอำนาจ หรือมีพลังเหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งการกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องและมีระยะเวลายาวนาน หากอยากมีเพื่อนและเป็นเพื่อนที่ดีต้องไม่ทำพฤติกรรมที่เรียกว่าการกลั่นแกล้ง(Bullying) ถึงแม้บางครั้งเราจะคิดว่าสิ่งที่เราพูด ทำ หรือแสดงออกไปจะเป็นเพียงการหยอกล้อ ไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาร้ายแรง แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่กระทำลงไปมันจะไปกระทบจิตใจของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน เอาล่ะมาดูกันว่าพฤติกรรมไหนบ้างที่เข้าข่ายการกลั่นแกล้งกันไม่ว่าจะเป็นชีวิตจริงหรือโลกสังคมออนไลน์ ซึ่งสาเหตุหลักๆ
ก็คือ "เคยโดนกลั่นแกล้งมาก่อน จึงคิดว่าการไปแกล้งคนอื่นบ้างเป็นเรื่องปกติ"
กลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นผู้ "กระทำ" อาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
- กลุ่มคนที่ (คิดว่า) มีพลังทางสังคม, มีเครือข่าย และ ชื่นชอบในการทำร้ายผู้อื่น
- กลุ่มคนที่รู้สึกโดดเดี่ยวในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นในสถานศึกษา หรือ ที่ทำงาน, รู้สึกไม่มีตัวตนในสังคม
สำหรับปัจจัยที่นำคนเหล่านั้นไปสู่การกลั่นแกล้งผู้อื่น คือ
- มีความก้าวร้าวหรืออ่อนไหว (ผิดหวังได้ง่าย) หรือ โดดเดี่ยว
- ขาดการดูแลจากผู้ปกครอง หรือ มีปัญหาในครอบครัว
- ชอบคิดแง่ร้ายกับผู้อื่น
- มีความลำบากในการทำตามกฎระเบียบ (ปกปิดความผิดตนโดยป้ายความผิดให้ผู้อื่น)
- มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องที่ดี คิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้อง
- มีเพื่อนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นเหมือนกัน
- มีความพอใจในตนเองต่ำ ส่วนแรงกระตุ้นที่ทำให้เริ่มเกิดการกลั่นแกล้ง คือ
- มีประเด็นความขัดแย้งซึ่งอาจจะเป็นทางร่างกายหรือคำพูด
- มีเพื่อนที่เริ่มกลั่นแกล้งผู้อื่น
- ปัญหาความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้น
- เมื่อตัวเองมีปัญหามักโทษคนอื่น
- ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่เกิดจากตนเอง
- มีความกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงและความนิยมของตนเอง
เป้าหมายของการกลั่นแกล้ง มีอะไรบ้าง
- เพื่อความสนุก สะใจโง่ๆ (รู้สึกสนุกกับการกลั่นแกล้งผู้อื่น)
- ต้องการสร้างความเกลียดชัง
- ต้องการแบ่งแยกให้เกิดคู่กรณีสองฝ่าย
(ฝ่ายที่โจมตี และ ฝ่ายที่ปกป้อง) เพื่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น นำเป้าหมาย(ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง)ไปสร้างประเด็นในกลุ่มที่คิดว่ามีความเกลียดชังหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามโดยสร้างประเด็นที่คิดว่าจะเกิดความขัดแย้ง ความไม่พอใจ
เพื่อให้เกิดการแยกฝ่ายและมีการโจมตีซึ่งกันและกัน
แนวทางสำหรับการป้องกันหรือแก้ปัญหาสำหรับผู้ถูกกระทำ
เมื่อเราทราบลักษณะและแนวทางของผู้กระทำแล้ว หากเราโดนกลั่นแกล้งรังแกไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
สิ่งที่จะช่วยให้เราก้าวผ่านสถานการณ์แย่ๆ นั้นไปได้ คือ
การไม่ตอบโต้โดยการใช้ความรุนแรง
และต้องไม่ยอมที่จะให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำอีก
ด้วยการหาวิธีจัดการกับปัญหาโดย…
-ต้องบอกใครสักคนเกี่ยวกับปัญหานี้เพราะเราไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้โดยลำพัง เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู ผู้ใหญ่ที่เราไว้วางใจ หรือเพื่อนสนิทหากบอกคนที่เราไว้ใจให้ช่วยแก้ปัญหานี้…แต่ปัญหายังคงมีอยู่
อย่า! เก็บปัญหาไว้คนเดียว ควรบอกให้คนที่เราไว้ใจทราบว่าปัญหายังไม่คลี่คลาย
-บอกให้
“เขา” หยุดพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก อาจจะเป็นการยากที่จะบอกให้เขาหยุดพฤติกรรม แต่บางครั้งเขาอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นส่งผลกระทบร้ายแรงเพียงใดกับเรา
-เพิกเฉยหรือเดินหนี คนที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นมักจะพูดหรือทำสิ่งต่างๆ
เพื่อกลั่นแกล้ง ยั่วยุ เพราะพวกเขาต้องการให้เรามีปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่าง
หากเราไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำ พวกเขาอาจจะหยุดพฤติกรรมนั้น
ไม่ต้องใส่ใจกับเสียงหัวเราะ ที่เขาแกล้งด่าว่าเรา
เพราะการมีอารมณ์ตอบโต้เป็นอาวุธที่ดีสำหรับคนที่ชอบข่มขู่หรือรังแกผู้อื่นพวกเขามองว่าเป็นเรื่องสนุก
ถ้าเราทำเฉยๆ เขาจะรู้สึกผิดหวัง หมดสนุกที่จะกลั่นแกล้งอีก
-มีความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองจะทำให้เรามีท่าทีแสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง
ซึ่งจะทำให้มีโอกาสน้อยที่เราจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
-ไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อนๆ อย่าแยกเดินคนเดียว
-อย่าตอบโต้ด้วยกำลังเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาและความรุนแรงมากขึ้น
สุดท้ายคือ "คิดว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำ
ถ้าเราเองถูกกระทำแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร(เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
พรายไม้กับพรายน้ำเป็นภูตตัวเล็กๆ
ซึ่งปกติคนธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้
แต่ถ้าต้องการแสดงตนให้ใครเห็นก็จะใช้วิธีแปลงร่างเป็นรูปลักษณะต่างๆ
ได้ตามต้องการ ภูตพรายทั้งสองกลุ่มนี้มีนิสัยชอบเล่นสนุกสนาน
มักมาประชุมกันเพื่อร้องรำทำเพลงและต่างนิยมชมชอบคนดี หากเจอผู้มีจิตใจเมตตากรุณาชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
พรายไม้ซึ่งเป็นภูตเพศชายและพรายน้ำซึ่งเป็นภูตเพศหญิงก็จะแสดงตัวในลักษณะสวยงามออกมาสนทนาปราศรัยด้วยอย่างสนิทสนม
แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย
ภูตพรายทั้งสองก็สามารถบันดาลให้มีอันเป็นไปในทางไม่ดีได้เช่นกัน
หนูน้อยขันทองอยากจะเห็นพรายไม้และพรายน้ำจึงตั้งใจประพฤติตนเป็นเด็กดีตามที่แม่สอนทุกประการ
อยู่าวันหนึ่งตรงกับคืนเดือนหงาย
เหล่าพรายไม้กบพรายน้ำออกมาชุมนุมกันในถิ่นของพวกพรายไม้ซึ่งมีแสงจันทร์สาดส่องสว่างไสว
บรรดาพรายน้ำมอบกระเช้าเล็กๆ ให้แก่พวกพรายไม้คนละใบ
เพื่อเล่นเกมแข่งเก็บของใส่กระเช้า
พรายไม้ผู้ชนะจะได้เต้นรำกับพรายน้ำเจ้าของกระเช้าผู้น่ารัก
หลังจากการเล่นสนุกสนานผ่านไปจนได้เวลาสมควร
พวกพรายไม้ก็พากันกลับไปยังที่พักของตน
แต่เหล่าพรายน้ำนั้นยังคงช่วยกันเก็บกระเช้าที่ตกอยู่กระจัดกระจายมารวมไว้อย่างเป็นระเบียบ
หนูน้อยขันทองเดินออกมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางแสงจันทร์คืนวันเพ็ญ
ครั้นเห็นกระเช้าใบเล็กๆ น่ารักลอยไปรวมกันเป็นกองใหญ่
ขันทองก็ช่วยเก็บกระเช้าที่ยังเหลืออยู่มารวมไว้จนหมดและนั่งดูด้วยความสนใจอยากจะได้ไปเล่นบ้าง
แต่ไม่กล้าหยิบฉวยเอาตามอำเภอใจเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ
ทันใดนั้นหนูน้อยขันทองก็รู้สึกว่ามีมือเย็นๆ มาแตะที่เปลือกตา
ทั้งนี้เพราะบรรดาพรายน้ำพึงพอใจในความเอื้อเฟื้อและซื่อสัตย์สุจริตจึงบันดาลให้ขันทองสามารถมองเห็นพวกเธอได้
หนูน้อยขันทองรู้สึกดีใจส่งยิ้มให้กับเหล่าพรายน้ำซึ่งมีใบหน้างดงาม
ตัวขนาดตุ๊กตาคือสูงสักห้าสิบเซ็นติเมตร ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
พวกพรายน้ำได้เล่าเรื่องราวของกระเช้าใบเล็กๆ ให้ฟังว่ามันคือ กระเช้าสีดา
เป็นผลของไม้เถาชนิดหนึ่ง
โดยมีประวัติเกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ด้วยแต่เดิมเป็นกระเช้าของนางสีดา
ซึ่งทำตกไว้ในป่าระหว่างที่ถูกเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์อุ้มนางเหาะหนีเพราะต้องการลักพาตัวไปจากพระราม
เหล่าเทวดาเจ้าป่าเกรงว่ากระเช้าจะสูญหายไปจึงบันดาลให้งอกรากออกมากลายเป็นไม้เถาและมีผลสืบมาจนถึงปัจจุบัน
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงนางสีดา
ก่อนจากกันพรายน้ำได้มอบกระเช้าสีดาให้หนูน้อยขันทองไว้เป็นที่ระลึก
โดยให้เลือกหยิบเอาตามใจชอบ ขันทองอยากจะได้หลายๆ ใบเพื่อเอาไปฝากแม่และเพื่อนๆ
แต่ก็เกรงใจหยิบขึ้นมาเพียงใบเดียวเท่านั้น
เหล่าพรายน้ำจึงหยิบกระเช้าสีดาส่งให้ขันทองจนเต็มอุ้งมือ
แล้วใช้มือแตะเปลือกตาของขันทอง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเหล่าพรายน้ำและกระเช้าสีดาที่กองอยู่ก็หายไปจนหมดสิ้น
ขันทองจึงรีบกลับบ้านและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้แม่ฟัง
เธอรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้พบกับเหล่าพรายน้ำเพราะเชื่อฟังคำของแม่ที่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
Annya pedia. (ม.ป.ป.). นิทานไทย. [ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก annya pedia.com/2014/04/blog-sport.html.
สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 6 : ไททันโอโบอา งูยักษ์แห่งแซร์อาโฮน
ทีมนักวิทยาศาสตร์สุดตื่นเต้นเมื่อพบซากฟอสซิลของ
"งูยักษ์" ในโคลอมเบีย
คาดเป็นงูสายพันธุ์ใหญ่ที่สุดและเลื้อยอยู่บนโลกเมื่อ 60 ล้านปีก่อน
มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่ารถบัส และสามารถเคี้ยวจระเข้เป็นของว่างได้เลยการค้นพบฟอสซิลงูยักษ์สายพันธุ์โบราณบริเวณเหมืองถ่านหินทางตะวันออกเฉียงของประเทศโคลอมเบีย
ระบุว่าน่าจะเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ จากการค้นพบฟอสซิลส่วนกระดูกสันหลังของงูยักษ์ดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่า เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
เจ้างูยักษ์ตัวนี้น่าจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 1 ตัน และยาวกว่า
13 เมตร โดยที่งูสายพันธุ์นี้น่าจะมีน้ำหนักมากสุดได้ถึง
2 ตัน และยาวได้เต็มที่ 15 เมตร
นักบรรพชีวินวิทยาได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้กับงูยักษ์ชนิดนี้ว่า
"ไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส" (Titanoboa
cerrejonensis) ซึ่งเป็นภาษาลาติน แปลได้ว่า "งูยักษ์จากแซร์อาโฮน" (titanic boa from Cerrejon) ซึ่งเป็นเมืองที่ค้นพบฟอสซิลดังกล่าว เจสัน เฮด นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต
ในเมืองมิสซิสซอกาประเทศแคนาดา เผยว่างูยักษ์ดึกดำบรรพ์นี้มีความใกล้ชิดกับงูเหลือมในยุคปัจจุบัน
แต่น่าจะมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับงูอนาคอนดามากกว่า
นั่นคือใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ และสามารถเลื้อยคลานบนพื้นดินได้อย่างคล่องแคล่ว
เหมือนเวลาว่ายอยู่ในน้ำ และน่าจะกินจุมากพอสมควร
ซึ่งอาหารของมันอาจรวมถึงปลาขนาดใหญ่และจระเข้ด้วยก็ได้
บลอชให้ข้อมูลอีกว่า
ทีมวิจัยค้นพบฟอสซิลงูยักษ์นี้จากเหมืองถ่านหินในเมืองแซร์อาโฮนตั้งแต่เมื่อต้นปี 2550 โดยพบแกนกระดูกสันหลังทั้งหมดประมาณ
180 ชิ้น คาดว่าน่าจะเป็นของงูยักษ์ร่วม 12 ตัว ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยก็ยังหวังว่าจะขุดค้นพบฟอสซิลส่วนกระโหลกได้ในเร็ววัน
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
MGR online. (2552). อนาคอนดาชิดซ้าย ฟอสซิลงูยักษ์ใหญ่สุดเท่าที่โลกเคยมี. [ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก mrg online.com/ science/detail/9520000013713. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 7 : OUMUAMUA ผู้สอดแนมจากแดนไกล
เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2560 นักดาราศาสตร์ประกาศการค้นพบวัตถุจากนอกระบบสุริยะที่เคลื่อนที่เข้ามาในระบบสุริยะของเรา
วัตถุดังกล่าวถูกค้นพบโดย โรเบิร์ต เวริก นักดาราศาสตร์ชาวแคนาดา มีการตั้งชื่อเรียกวัตถุนี้ว่า อูมัวมัว (Oumuamua) ซึ่งเป็นภาษาฮาวาย หมายถึง ผู้สอดแนม เมื่อทำการวิเคราะห์ก็พบว่าวัตถุปริศนานี้มีความเร็วในการเคลื่อนที่เฉลี่ย
26 กิโลเมตรต่อวินาที มีความเร็วสูงสุด 87 กิโลเมตรต่อวินาที และมีวงโคจรเป็นรูปไฮเปอร์โบลา ซึ่งเมื่อเคลื่อนที่เข้ามาในระบบสุริยะแล้วมันกลับเพิ่มความเร่งได้เองเหมือนได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์และพุ่งห่างออกไปโดยไม่กลับมาอีกเลย
ความเร็วที่มากมายขนาดนี้ทำให้นักดาราศาสตร์มั่นใจว่ามันเป็นวัตถุที่พุ่งมาจากนอกระบบสุริยะอย่างแน่นอน
เพราะลำพังแรงโน้มถ่วงจากดวงอาทิตย์ไม่สามารถทำให้วัตถุมีความเร็วขนาดนี้ได้
อูมัวมัวจึงกลายเป็นวัตถุแรกจากนอกระบบสุริยะที่มนุษย์เราค้นพบ
สิ่งที่น่าสนใจคืออูมัวมัวมีความเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระหว่างที่โคจร
ทำให้มีการคาดการว่าอูมัวมัวอาจเป็นยานอวกาศของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกระบบสุริยะที่เดินทางเข้ามาในระบบสุริยะของเรา
น่าเสียดายที่เราไม่สามารถส่งยานอวกาศเข้าไปใกล้ๆอูมัวมัวแล้วถ่ายรูปมันอย่างชัดเจนได้ ภาพที่ปรากฏต่อนักดาราศาสตร์คือจุดแสงเล็กๆ
ที่เปลี่ยนความสว่างไปมา
นักดาราศาสตร์วัดแสงที่อูมัวมัวสะท้อนจากดวงอาทิตย์มาทำการวิเคราะห์เพื่อหารูปทรงของมันพบว่าอูมัวมัวมีลักษณะเป็นแท่งยาวราว
400 เมตร แต่มีความกว้างเพียง 40
เมตร หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของความยาว จึงคล้ายกับซิการ์ขนาดยักษ์
ซึ่งแตกต่างไปจากวัตถุอวกาศทั่วๆ ไปที่มีลักษณะกลม ทำให้อูมัวมัวเป็นที่น่าสงสัยว่าคล้ายยานท่องอวกาศที่มีรูปร่างยาวและแบนเหมือนในภาพยนตร์
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2561
นักวิทยาศาสตร์จาก Harvard-Smithsonian Center for
Astrophysics ตั้งข้อสังเกตว่าความเร่งของอูมัวมัวอาจจะเกิดจากแรงดันแสงอาทิตย์ก็ได้
ซึ่งอูมัวมัวอาจจะบางกว่าที่คิดกันไว้ อูมัวมัวอาจเป็น ‘เรือใบ’
ดาวฤกษ์ที่อาศัยแรงดันแสงจากดาวฤกษ์อื่นจนหลุดเข้ามาในระบบสุริยะของเรา
แล้วเดินทางต่อไปในระบบดาวอื่น แต่ปัญหาสำคัญในการศึกษาอูมัวมัวคือในตอนนี้มันโคจรห่างออกไปจนนักดาราศาสตร์ไม่สามารถสังเกตมันด้วยกล้องโทรทรรศน์ได้อีกต่อไปแล้ว มันจึงเป็นผู้มาเยือนที่ทิ้งคำถามไว้มากมาย เช่น องค์ประกอบของมันคืออะไร
มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมันมาจากที่ไหนกันแน่
กล่าวคือมันเป็นวัตถุที่มาจากระบบดาวฤกษ์ภายในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา
หรือมันโคจรหลุดมาจากระบบดาวในกาแล็กซีอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
อาจวรงค์ จันทมาศ. (2561). อูมัวมัว
ผู้มาเยือนลึกลับจากนอกระบบสุริยะที่ทิ้งปริศนาให้ชาวโลกค้นหาคำตอบ.
[ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก thestandard.com/oumuaamua. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 8 : สาเหตุที่ทศกัณฐ์ได้ชื่อว่า "ราพณ์"
เมื่อทศกัณฐ์แย่งบุษบกจากท้าวเวสสุวรรณได้แล้ว จึงขี่ไปเที่ยวยังเขาไกรลาศ เมื่อไปถึงอยู่ดีๆ บุษบกก็หยุด แล้วพระนนทีซึ่งกล่าวว่าเป็นภาคหนึ่งของพระอิศวรจึงร้องบอกทศกัณฐ์ว่า เวลานี้พระสังกรมหาเทพทรงพระสำราญอยู่บนยอดเขาอย่าคิดไปต่อเลย ทศกัณฐ์โกรธจึงโดดลงจากบุษบกจะมารบกับพระนนที ครั้นเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นพระนนทีมีรูปร่างหน้าตาคล้ายวานร ทศกัณฐ์ก็หัวเราะเยาะ พระนนทีจึงทำนายว่าในเบื้องหน้าวานรจะเป็นผู้นำความพินาศฉิบหายมาสู่ทศกัณฐ์และญาติวงศ์บริษัทบริวาร ทศกัณฐ์กำลังมัวเมาในอำนาจจึงตรงเข้าถอนเขาไกรลาศเพื่อจะให้พระอิศวรกลัว แต่พระอิศวรกดภูเขาไว้ด้วยนิวพระบาทนิ้วเดียว มือและแขนทศกัณฐ์ก็ถูกทับแน่นอยู่ใต้ภูเขากระดิกอีกไม่ได้ ทั้งมีความเจ็บปวดยิ่งนัก พวกมนตรีก็พากันทูลทศกัณฐ์ให้ทูลขอโทษพระอิศวร ทศกัณฐ์จึงสวดมนตร์และกล่อมสรรเสริญพระอิศวรอยู่หลายพันปี ในที่สุดพระอิศวรจึงทรงพระเมตตาปล่อยให้หลุดจากเขาไป และโดยเหตุที่เมื่อถูกทับทศกัณฐ์ได้ร้องด้วยเสียงอันดัง ทำให้เป็นที่น่าสยดสยองจึ่งได้นามว่า "ราพณ์" (สันสกฤต "ราพณ์" แปลว่า ร้อง )
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2513). บ่อเกิดรามมเกียรติ์. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา.
บทอ่านเรื่องที่ 9 : ดินสอพอง
คุณแม่ของคุณยายเล่าว่าที่ลพบุรีนี้มีดินสอพองมาก ชาวเมืองลพบุรีจึงทำมาหากินกับดินสอพองนี้ เอาดินสอพองมาทำความสะอาดแล้วก้หยอดใส่กระด้งตากเป็นแถวๆ หยอดให้เป็นดอกๆ ต่างๆ กัน แล้วนับดอกขายเป็นร้อยๆ แลดูสวยเหมือนขนมอร่อยๆ เป็นขนมกลีบลำดวนก็มี ทุกๆ ปีที่ลพบุรีจะมีการประกวดหยอดดินสอพองกัน ใครหยอดได้สวยที่สุดเป็นผุ้ชนะ ฉะนั้นพวกที่มีอาชีพทำดินสอพองจึงต้องหักหยอดดินสอพองให้เก่งๆ เขาหยอดกันเป็นยอดแหลมเปี๊ยบและเสมอกันทุกๆ ดอก และมีลวดลายต่างๆ กันตามแต่ใครจะมีหัวคิดประดิดประดอยให้เป็นดอกพิสดารเป็นเกลียวเป็นริ้ว ดินสอพองนี้มีประโยชน์มากมาย ตามบ้านต้องมีไว้ประจำบ้าน หน้าร้อนก็เอามาละลายน้ำอบไทยประหน้าประตัวกันเป็นลายพร้อยไปหมด ดินสอพองนี้เป็นของเย็น ดับพิษร้อนได้ดีจึงแก้ผดหน้าร้อนได้ดี เวลาคุณยายไปช่วยหั่นพริกในครัวมาปวดแสบปวดร้อนมือ ยิ่งล้างมือก็ยิ่งร้อนไม่หายก็ต้องเอาดินสอพองนี้ทามือทิ้งไว้จะหายแสบร้อน หนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นมีสิวมากหน้าเป็นมันย่องอยู่เสมอ เอาดินสอพองมาละลายน้ำพอกหนาๆ ทิ้งไว้ทำให้เย็นช่วยให้สิวยุบ ซับน้ำมันในหน้าด้วยบางทีก็เอาดินสอพองมาผสมกับน้ำมะนาวและลิ้นทะเลนิดหน่อยทาแก้สิวกัน
จำพวกยาทาดับพิษต่างๆ เข้าดินสพองกันมาก จะขัดเครื่องเงิน ทองเหลืองหรือทองแดงให้สะอาด ก็เอาดินสอพองกับมะขามเปียกหรือเปลอกสับปะรดเปรี้ยวขัดสะอาดดี เวลาจะสงกรานต์ก็เอาช้อน ส้อม พาน ขัน พระพุทธรูป และถาดมาขัดเป็นการใหญ่ กระดุม หัวเข็มขัดก้เอามาขัดกันจนสุกปลั่งแลดูเป้นของใหม่เอี่ยมอ่องไปตามๆ กัน ดอนสอพองนี้ไม่มีอันตรายมีแต่คุณประโยชน์ซำ้ราคาถูกแสนถูก ซื้อสตางค์เดียวเยอะแยะใช้ได้ตั้งนาน "แป้ง ขมิ้น ดอนสอพอง" เป็นเครืื่องสำอางของไทยมาแต่โบราณ แม่ค้ามักขายควบกันไปเลย
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา. (2560). เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 30). กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร.
บทอ่านเรื่องที่ 10 : พ่อแม่รังแกฉัน
กลอนสุภาพ พ่อแม่รังแกฉัน เป็นผลงานเขียนของ พระยาอุปกิตศิลปสาร
เรื่องย่อ...งิ้วเรื่องหนึ่งซึ่งซินแสเคยดูตั้งแต่วัยเด็ก และใช้เป็นคติสอนใจเรื่อยมา เนื้อเรื่องกล่าวถึงเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว จึงรักและหลงลูกชายมาก หวังจะให้เป็นผู้สืบสกุลต่อไป เมื่อเข้าสู่วัยเรียน เศรษฐีได้จ้างครูมาสอนที่บ้านเพราะกลัวลูกลำบาก แต่ด้วยนิสัยที่ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนของลูกเศรษฐี เมื่อถูกครูเข้มงวดในการเรียนก็ไม่พอใจ เป็นเหตุให้เศรษฐีต้องเลิกจ้างครูสอนไปคนแล้วคนเล่า ต่อมา เศรษฐีได้ครูสอนที่ตามใจ เพราะเป็นครูหวังเพียงค่าจ้าง ลูกเศรษฐีมีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง พอใจแต่จะเล่นสนุกกับเพื่อนไปวัน ๆ เมื่อลูกเศรษฐีโตเป็นผู้ใหญ่ จึกไม่มีความรู้ติดตัว ต่อมา บิดามารดาเสียชีวิต มรดกจึงตกเป็นของลูกเศรษฐีทั้งหมด ด้วยนิสัยที่เป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย และคบเพื่อนที่ไม่ดีประกอบกับไม่รู้จักทำงาน ในที่สุดมรดกก็หมดไป ลูกเศรษฐีต้องไปเป็นขอทาน โดยคิดว่าที่ต้องเป็นขอทานเพราะถูก พ่อแม่รังแกโดยการตามใจตนเองทุกอย่างจนเสียคนอย่างที่เป็นอยู่นี้ วันหนึ่งลูกเศรษฐีไปขอทางที่หน้าบ้านซินแส ซินแสเห็นลักษณะเป็นลูกผู้ดี จึงอาสาเป็นผู้อบรมสั่งสอนวิชาชีพและความประพฤติให้ลูกเศรษฐี ครั้นเมื่อลูกเศรษฐีได้สำนึกผิด จึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับซินแส จนสามารถทำงานประกอบอาชีพและพึ่งตนเองได้ในเวลาต่อมา...
"ท่านเจ้าข้า! พ่อแม่รังแกฉัน
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉันทำผิดคิดระยำกลับค้ำชู
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร"
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ลิตเติลเกิรล์. (2559). พ่อแม่รังแกฉัน. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก homelittlegirl.com/ index.php?topic=7399.
สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 11 : มงคลชีวิต 38 ประการ
มงคลชีวิต 38 ประการเป็นหมวดธรรมที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและในการนำไปปฏิบัติเพราะเป็นหมวดธรรมที่เป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวเนื่องกัน สามารถนำไปในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม มงคลชีวิต 38 ประการ จึงเป็น
"คุณธรรม" ที่หากยึดปฏิบัติแล้ว จะส่งให้ชีวิตพบเจอแต่ความสุข ความเจริญ
ซึ่ง คำว่า "มงคล" นั่นหมายถึง
เหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต
มงคล คือ เหตุแห่งความสุขและความก้าวหน้าในการใช้ชีวิต พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำไปปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาของเทวดาที่ทูลถามว่า "คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญมีหรือไม่อย่างไร" พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีจากนั้นจึงตรัสมงคลสูตร สรุปเป็นหัวข้อดังนี้
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
Kapook. (2555). มงคล 38 ประการ หลักธรรมนำทางชีวิตสู่ความสุข. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก hilight.kapook.com/ view/73901. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 12 : ติดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อการพัฒนาการวัยรุ่น
ในยุคปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน (smartphone) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น
รวมไปถึงการเปิดตัวสมาร์ทโฟนหลากหลายยี่ห้อ
ทำให้จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จากรายงานในปี ค.ศ. 2012
พบว่าวัยรุ่นอเมริกัน ร้อยละ 37 ครอบครองโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ.2011 กว่าร้อยละ 23 และมีถึงร้อยละ 95 ใช้บริการอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือของตน
เช่นเดียวกันกับประเทศเกาหลี การใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ในเด็กและวัยรุ่น
เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 7.5 ในปี ค.ศ.2009 เป็นร้อยละ 67 ในปี ค.ศ.2012
Dr. Lee และคณะ
ผู้ทำการศึกษาผลของการติดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนในเด็กวัยรุ่นเกาหลี กล่าวว่า
โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย
ทำให้เกิดความสะดวกและเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ที่มากเกินไปได้
ในการศึกษาที่ได้ทำในเด็กวัยรุ่น 195 คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
โดยให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ทำแบบทดสอบพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน 2010
Smart-phone Addiction Rating Scale (SARS) และ The Young
Internet Addiction Scale (YIAS) และแบบทดสอบ Youth Self
Report (K-YSR) เพื่อประเมินอาการทางจิตและปัญหาด้านพฤติกรรม
จากผลการทดสอบพบว่าในวัยรุ่นแต่ละราย มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสามไปในทิศทางเดียวกัน
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนต่ำ
มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสามต่ำกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ในทางตรงกันข้ามกลุ่มที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสูง
มีคะแนนจากแบบทดสอบสูงกว่ากลุ่มอื่น จากแบบทดสอบยังพบว่าในกลุ่มนี้มีอาการผิดปกติ
เช่น อาการลงแดงหากไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต/โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
มีปัญหาทางการคิด มีอาการซึมเศร้าหรือกระวนกระวาย สมาธิสั้น และมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากกว่ากลุ่มอื่น
ซึ่งมีโอกาสส่งผลต่อการเข้าสังคมและพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กได้
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
หน่วยคลังข้อมูลยา. (255ุ6). การติดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและวัยรุ่่น.
[ออนไลน์]. เข้าถึงจาก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1132.
สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 13 : พระจันทร์ยิ้ม
ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือน หรือ ปรากฏการณ์พระจันทร์ยิ้ม เป็นปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายใบหน้าคนกำลังยิ้ม โดยดาวคู่ดังกล่าว
ได้แก่ ดาวศุกร์ และดาวพฤหัสบดี เมื่อมองจากโลก
จะอยู่ห่างกัน 2 องศา ในระยะท้องฟ้า และจะมีดวงจันทร์เสี้ยว ขึ้น
3 ค่ำ อยู่ด้านล่างระหว่างดาวทั้งสองดวง และห่างกัน 2
องศา ซึ่งสามารถสังเกตได้ในประเทศไทยครั้งล่าสุดเมื่อ 29-30 พฤศจิกายน พ.ศ. 25ุ62 ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนจะเกิดขึ้น
2
ครั้ง ห่างกันประมาณ 10 เดือน ทุก ๆ 2 ปีครึ่ง มีลักษณะเป็นดวงดาว 3 ดวง ซึ่งได้แก่
ดาวศุกร์ (ดาวประจำเมือง) ดาวพฤหัสบดี และ ดวงจันทร์ โคจรเข้ามาใกล้กัน
โดยดวงจันทร์หงายอยู่ด้านล่างของดาวอีก 2 ดวง
และอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ปรากฏการณ์นี้จะมองเห็นได้ไม่นานนัก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นช่วงเวลาหัวค่ำ
เพราะดาวจะตกเร็วลับจากขอบฟ้าจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2560). ปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/
ปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน.สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 14 : สัญลักษณ์วันคริสมาสต์
ต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาส
ที่นำเอาต้นสนมาประดับประดา ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส
มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี
ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ
ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก
ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต
และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน
ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่
19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก
และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง
ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า
อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด
และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในช่วงเทศกาลคริสต์มาสมีหลากหลาย
เช่น สีแดงของผลฮอลลี่หรือซานตาคลอส, สีเขียวของต้นไม้,
สีทองของเทียนและดวงดาว, สีขาวโพรนของทุ่งหิมะ
สีแดง
: เป็นสีที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นมากที่สุดและเป็นสีของเดือนธันวาคม
ซึ่งตามสัญลักษณ์ตามศาสนานั้น หมายถึงไฟ, เลือด
และความโอบอ้อมอารี
สีเขียว
: เป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ, ความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์
ซึ่งก็เปรียบได้ว่าคริสต์มาสนั้นเป็นเสมือนเทศกาลแห่งความหวังด้วย
สีขาว : คือสัญลักษณ์ทางศาสนา
ซึ่งได้แก่ แสงสว่าง,
ความบริสุทธิ์, ความสุขและความรุ่งเรือง
สีขาวคือสีที่มักจะเห็นบนเสื้อคลุมของนางฟ้าคริสต์มาส, เคราของซานตาคลอส,
ริมชายเสื้อสีขาวของชุดซานตาคลอส, หิมะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและสะเก็ดของหิมะ
สีทอง
: เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว
นอกจากนี้ยังเป็นสีของดาวคริสต์มาส,เครื่องประดับ,เทียน,หลอดไฟ
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
YUWADEE. (2561). สัญลักษณ์วันคริสมาสต์. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก https://teen.mthai.com/variety/122996.html.
สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 15 : มนุษย์กับหน้าที่พลเมือง
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก
1. เคารพกฎหมายและปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ข้อบังคับของสังคม เมื่อพลเมืองทุกคนปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับของสังคม
และบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
หรือไม่กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนดก็จะทำให้รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณในการป้องกัน
ปราบปรามและจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษ
นอกจากนี้ยังทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบสงบสุขทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
ไม่หวาดระแวงคิดร้ายต่อกัน
2.เป็นผู้มีเหตุผล
และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกคนย่อมมีอิสรเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
ซึ่งการรู้จักการใช้เหตุผลในการดำเนินงาน จะทำให้ช่วยประสานความสัมพันธ์
ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีงามต่อกัน
3.ยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่
เมื่อมีความขัดแย้งกันในการดำเนินกิจกรรมอันเกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
และจำเป็นต้องตัดสินปัญหาด้วยการใช้เสียงข้างมากเข้าช่วย และมติส่วนใหญ่ตกลงว่าอย่างไร
ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงกับความคิดของเรา เราก็ต้องปฏิบัติตาม
เพราะเป็นมติของเสียงส่วนใหญ่นั้น
4.เป็นผู้นำมีน้ำใจประชาธิปไตย
และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ผู้ที่มีความเป็นประชาธิปไตยนั้น
จะต้องมีความเสียสละในเรื่องที่จำเป็น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมและรักษาไว้ซึ่งสังคมประชาธิปไตย เป็นการส่งผลต่อความมั่นคงและความก้าวหน้าขององค์กร ซึ่งสุดท้ายแล้วผลประโยชน์ดังกล่าวก็ย้อนกลับมาสู่สมาชิกของสังคม เช่นการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถึงแม้ว่าเราจะมีอาชีพบางอย่างที่มีรายได้ตลอดเวลา
เช่นค้าขาย แต่ก็ยอมเสียเวลาค้าขายเพื่อไปลงสิทธิ์เลือกตั้ง
บางครั้งเราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือกิจกรรมส่วนร่วม เช่น
การสมัครเป็นกรรมการเลือกตั้ง หรือสมาคมบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม
เป็นต้น
5.เคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
ควรรูจักเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเช่นบุคคลมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด แต่ต้องไม่เป็นการพูดแสดงความคิดเห็นที่ใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียหาย
6.มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม
ชุมชน ประเทศชาติ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ย่อมต้องมีการทำงานเป็นหมู่คณะ
จึงต้องมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในงานนั้นๆให้สมาชิกแต่ละคนนำไปปฏิบัติตามที่ได้รับหมอบหมายไว้อย่างเต็มที่
7.มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมือง
การปกครอง
ในสังคมประชาธิปไตยนั้นสมาชิกทุกคนต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมืองการปกครอง เช่น
การเลือกตั้ง เป็นต้น
8.มีส่วนร่วมในการป้องกัน
แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง ช่วยสอดส่องพฤติกรรมมั่วสุมของเยาวชนในสถานบันเทิงต่าง
ไม่หลงเชื่อข่าวลือคำกล่าวร้ายโจมตี ไม่มองผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเราเป็นศัตรู
รวมถึงสงเสริมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆด้วยสันติวิธี
9. มีคุณธรรม จริยธรรม
และปฏิบัติตนตามหลักธรรม ทุกคนควรมีศีลธรรมไว้เป็นหลักในการควบคุมพฤติกรรมของบุคลให้ดำเนินไปอย่างเหมาะสม
ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษใดๆก็ตาม
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
พุฒทา แสนสมัคร และคณะ. (2558). มนุษย์กับหน้าที่พลเมือง. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก bloggergroup5.blogspot.com/
2016/09/blog-post_34.html. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
อย่ามองเป็นแค่เรื่องสนุกปากหรือสะใจโง่ๆ เลิกซะพฤติกรรม
บูลลี่ ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ การกลั่นแกล้ง (Bullying) หมายถึง พฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม โดยพฤติกรรมนั้นเป็นความตั้งใจกระทำทางกายหรือทางคำพูดให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ความเจ็บปวด เพื่อให้ตนเองรู้สึกมีอำนาจ หรือมีพลังเหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งการกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องและมีระยะเวลายาวนาน หากอยากมีเพื่อนและเป็นเพื่อนที่ดีต้องไม่ทำพฤติกรรมที่เรียกว่าการกลั่นแกล้ง(Bullying) ถึงแม้บางครั้งเราจะคิดว่าสิ่งที่เราพูด ทำ หรือแสดงออกไปจะเป็นเพียงการหยอกล้อ ไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาร้ายแรง แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่กระทำลงไปมันจะไปกระทบจิตใจของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน เอาล่ะมาดูกันว่าพฤติกรรมไหนบ้างที่เข้าข่ายการกลั่นแกล้งกันไม่ว่าจะเป็นชีวิตจริงหรือโลกสังคมออนไลน์ ซึ่งสาเหตุหลักๆ
ก็คือ "เคยโดนกลั่นแกล้งมาก่อน จึงคิดว่าการไปแกล้งคนอื่นบ้างเป็นเรื่องปกติ"
กลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นผู้ "กระทำ" อาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
- กลุ่มคนที่ (คิดว่า) มีพลังทางสังคม, มีเครือข่าย และ ชื่นชอบในการทำร้ายผู้อื่น
- กลุ่มคนที่รู้สึกโดดเดี่ยวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นในสถานศึกษา หรือ ที่ทำงาน, รู้สึกไม่มีตัวตนในสังคม
สำหรับปัจจัยที่นำคนเหล่านั้นไปสู่การกลั่นแกล้งผู้อื่น คือ
- มีความก้าวร้าวหรืออ่อนไหว (ผิดหวังได้ง่าย) หรือ โดดเดี่ยว
- ขาดการดูแลจากผู้ปกครอง หรือ มีปัญหาในครอบครัว
- ชอบคิดแง่ร้ายกับผู้อื่น
- มีความลำบากในการทำตามกฎระเบียบ (ปกปิดความผิดตนโดยป้ายความผิดให้ผู้อื่น)
- มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องที่ดี คิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้อง
- มีเพื่อนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นเหมือนกัน
- มีความพอใจในตนเองต่ำ ส่วนแรงกระตุ้นที่ทำให้เริ่มเกิดการกลั่นแกล้ง คือ
- กลุ่มคนที่ (คิดว่า) มีพลังทางสังคม, มีเครือข่าย และ ชื่นชอบในการทำร้ายผู้อื่น
- กลุ่มคนที่รู้สึกโดดเดี่ยวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นในสถานศึกษา หรือ ที่ทำงาน, รู้สึกไม่มีตัวตนในสังคม
สำหรับปัจจัยที่นำคนเหล่านั้นไปสู่การกลั่นแกล้งผู้อื่น คือ
- มีความก้าวร้าวหรืออ่อนไหว (ผิดหวังได้ง่าย) หรือ โดดเดี่ยว
- ขาดการดูแลจากผู้ปกครอง หรือ มีปัญหาในครอบครัว
- ชอบคิดแง่ร้ายกับผู้อื่น
- มีความลำบากในการทำตามกฎระเบียบ (ปกปิดความผิดตนโดยป้ายความผิดให้ผู้อื่น)
- มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องที่ดี คิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้อง
- มีเพื่อนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นเหมือนกัน
- มีความพอใจในตนเองต่ำ ส่วนแรงกระตุ้นที่ทำให้เริ่มเกิดการกลั่นแกล้ง คือ
- มีประเด็นความขัดแย้งซึ่งอาจจะเป็นทางร่างกายหรือคำพูด
- มีเพื่อนที่เริ่มกลั่นแกล้งผู้อื่น
- ปัญหาความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้น
- เมื่อตัวเองมีปัญหามักโทษคนอื่น
- ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่เกิดจากตนเอง
- มีความกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงและความนิยมของตนเอง
เป้าหมายของการกลั่นแกล้ง มีอะไรบ้าง
- เพื่อความสนุก สะใจโง่ๆ (รู้สึกสนุกกับการกลั่นแกล้งผู้อื่น)
- ต้องการสร้างความเกลียดชัง
- ต้องการแบ่งแยกให้เกิดคู่กรณีสองฝ่าย
(ฝ่ายที่โจมตี และ ฝ่ายที่ปกป้อง) เพื่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น นำเป้าหมาย(ผู้ที่ถูกกลั่นแกล้ง)ไปสร้างประเด็นในกลุ่มที่คิดว่ามีความเกลียดชังหรือเป็นฝ่ายตรงข้ามโดยสร้างประเด็นที่คิดว่าจะเกิดความขัดแย้ง ความไม่พอใจ
เพื่อให้เกิดการแยกฝ่ายและมีการโจมตีซึ่งกันและกัน
แนวทางสำหรับการป้องกันหรือแก้ปัญหาสำหรับผู้ถูกกระทำ
เมื่อเราทราบลักษณะและแนวทางของผู้กระทำแล้ว หากเราโดนกลั่นแกล้งรังแกไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
สิ่งที่จะช่วยให้เราก้าวผ่านสถานการณ์แย่ๆ นั้นไปได้ คือ
การไม่ตอบโต้โดยการใช้ความรุนแรง
และต้องไม่ยอมที่จะให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำอีก
ด้วยการหาวิธีจัดการกับปัญหาโดย…
-ต้องบอกใครสักคนเกี่ยวกับปัญหานี้เพราะเราไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้โดยลำพัง เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู ผู้ใหญ่ที่เราไว้วางใจ หรือเพื่อนสนิทหากบอกคนที่เราไว้ใจให้ช่วยแก้ปัญหานี้…แต่ปัญหายังคงมีอยู่ อย่า! เก็บปัญหาไว้คนเดียว ควรบอกให้คนที่เราไว้ใจทราบว่าปัญหายังไม่คลี่คลาย
-ต้องบอกใครสักคนเกี่ยวกับปัญหานี้เพราะเราไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้โดยลำพัง เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู ผู้ใหญ่ที่เราไว้วางใจ หรือเพื่อนสนิทหากบอกคนที่เราไว้ใจให้ช่วยแก้ปัญหานี้…แต่ปัญหายังคงมีอยู่ อย่า! เก็บปัญหาไว้คนเดียว ควรบอกให้คนที่เราไว้ใจทราบว่าปัญหายังไม่คลี่คลาย
-บอกให้
“เขา” หยุดพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก อาจจะเป็นการยากที่จะบอกให้เขาหยุดพฤติกรรม แต่บางครั้งเขาอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นส่งผลกระทบร้ายแรงเพียงใดกับเรา
-เพิกเฉยหรือเดินหนี คนที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นมักจะพูดหรือทำสิ่งต่างๆ
เพื่อกลั่นแกล้ง ยั่วยุ เพราะพวกเขาต้องการให้เรามีปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่าง
หากเราไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำ พวกเขาอาจจะหยุดพฤติกรรมนั้น
ไม่ต้องใส่ใจกับเสียงหัวเราะ ที่เขาแกล้งด่าว่าเรา
เพราะการมีอารมณ์ตอบโต้เป็นอาวุธที่ดีสำหรับคนที่ชอบข่มขู่หรือรังแกผู้อื่นพวกเขามองว่าเป็นเรื่องสนุก
ถ้าเราทำเฉยๆ เขาจะรู้สึกผิดหวัง หมดสนุกที่จะกลั่นแกล้งอีก
-มีความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองจะทำให้เรามีท่าทีแสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง
ซึ่งจะทำให้มีโอกาสน้อยที่เราจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
-ไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อนๆ อย่าแยกเดินคนเดียว
-อย่าตอบโต้ด้วยกำลังเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาและความรุนแรงมากขึ้น
สุดท้ายคือ "คิดว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำ
ถ้าเราเองถูกกระทำแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร(เอาใจเขามาใส่ใจเรา)
พรายไม้กับพรายน้ำเป็นภูตตัวเล็กๆ
ซึ่งปกติคนธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้
แต่ถ้าต้องการแสดงตนให้ใครเห็นก็จะใช้วิธีแปลงร่างเป็นรูปลักษณะต่างๆ
ได้ตามต้องการ ภูตพรายทั้งสองกลุ่มนี้มีนิสัยชอบเล่นสนุกสนาน
มักมาประชุมกันเพื่อร้องรำทำเพลงและต่างนิยมชมชอบคนดี หากเจอผู้มีจิตใจเมตตากรุณาชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
พรายไม้ซึ่งเป็นภูตเพศชายและพรายน้ำซึ่งเป็นภูตเพศหญิงก็จะแสดงตัวในลักษณะสวยงามออกมาสนทนาปราศรัยด้วยอย่างสนิทสนม
แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย
ภูตพรายทั้งสองก็สามารถบันดาลให้มีอันเป็นไปในทางไม่ดีได้เช่นกัน
หนูน้อยขันทองอยากจะเห็นพรายไม้และพรายน้ำจึงตั้งใจประพฤติตนเป็นเด็กดีตามที่แม่สอนทุกประการ
อยู่าวันหนึ่งตรงกับคืนเดือนหงาย
เหล่าพรายไม้กบพรายน้ำออกมาชุมนุมกันในถิ่นของพวกพรายไม้ซึ่งมีแสงจันทร์สาดส่องสว่างไสว
บรรดาพรายน้ำมอบกระเช้าเล็กๆ ให้แก่พวกพรายไม้คนละใบ
เพื่อเล่นเกมแข่งเก็บของใส่กระเช้า
พรายไม้ผู้ชนะจะได้เต้นรำกับพรายน้ำเจ้าของกระเช้าผู้น่ารัก
หลังจากการเล่นสนุกสนานผ่านไปจนได้เวลาสมควร
พวกพรายไม้ก็พากันกลับไปยังที่พักของตน
แต่เหล่าพรายน้ำนั้นยังคงช่วยกันเก็บกระเช้าที่ตกอยู่กระจัดกระจายมารวมไว้อย่างเป็นระเบียบ
หนูน้อยขันทองเดินออกมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางแสงจันทร์คืนวันเพ็ญ
ครั้นเห็นกระเช้าใบเล็กๆ น่ารักลอยไปรวมกันเป็นกองใหญ่
ขันทองก็ช่วยเก็บกระเช้าที่ยังเหลืออยู่มารวมไว้จนหมดและนั่งดูด้วยความสนใจอยากจะได้ไปเล่นบ้าง
แต่ไม่กล้าหยิบฉวยเอาตามอำเภอใจเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ
ทันใดนั้นหนูน้อยขันทองก็รู้สึกว่ามีมือเย็นๆ มาแตะที่เปลือกตา
ทั้งนี้เพราะบรรดาพรายน้ำพึงพอใจในความเอื้อเฟื้อและซื่อสัตย์สุจริตจึงบันดาลให้ขันทองสามารถมองเห็นพวกเธอได้
หนูน้อยขันทองรู้สึกดีใจส่งยิ้มให้กับเหล่าพรายน้ำซึ่งมีใบหน้างดงาม ตัวขนาดตุ๊กตาคือสูงสักห้าสิบเซ็นติเมตร ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันอย่างสนิทสนม พวกพรายน้ำได้เล่าเรื่องราวของกระเช้าใบเล็กๆ ให้ฟังว่ามันคือ กระเช้าสีดา เป็นผลของไม้เถาชนิดหนึ่ง โดยมีประวัติเกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ด้วยแต่เดิมเป็นกระเช้าของนางสีดา ซึ่งทำตกไว้ในป่าระหว่างที่ถูกเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์อุ้มนางเหาะหนีเพราะต้องการลักพาตัวไปจากพระราม เหล่าเทวดาเจ้าป่าเกรงว่ากระเช้าจะสูญหายไปจึงบันดาลให้งอกรากออกมากลายเป็นไม้เถาและมีผลสืบมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงนางสีดา
หนูน้อยขันทองรู้สึกดีใจส่งยิ้มให้กับเหล่าพรายน้ำซึ่งมีใบหน้างดงาม ตัวขนาดตุ๊กตาคือสูงสักห้าสิบเซ็นติเมตร ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยกันอย่างสนิทสนม พวกพรายน้ำได้เล่าเรื่องราวของกระเช้าใบเล็กๆ ให้ฟังว่ามันคือ กระเช้าสีดา เป็นผลของไม้เถาชนิดหนึ่ง โดยมีประวัติเกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ด้วยแต่เดิมเป็นกระเช้าของนางสีดา ซึ่งทำตกไว้ในป่าระหว่างที่ถูกเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์อุ้มนางเหาะหนีเพราะต้องการลักพาตัวไปจากพระราม เหล่าเทวดาเจ้าป่าเกรงว่ากระเช้าจะสูญหายไปจึงบันดาลให้งอกรากออกมากลายเป็นไม้เถาและมีผลสืบมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงนางสีดา
ก่อนจากกันพรายน้ำได้มอบกระเช้าสีดาให้หนูน้อยขันทองไว้เป็นที่ระลึก
โดยให้เลือกหยิบเอาตามใจชอบ ขันทองอยากจะได้หลายๆ ใบเพื่อเอาไปฝากแม่และเพื่อนๆ
แต่ก็เกรงใจหยิบขึ้นมาเพียงใบเดียวเท่านั้น
เหล่าพรายน้ำจึงหยิบกระเช้าสีดาส่งให้ขันทองจนเต็มอุ้งมือ
แล้วใช้มือแตะเปลือกตาของขันทอง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเหล่าพรายน้ำและกระเช้าสีดาที่กองอยู่ก็หายไปจนหมดสิ้น
ขันทองจึงรีบกลับบ้านและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้แม่ฟัง
เธอรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้พบกับเหล่าพรายน้ำเพราะเชื่อฟังคำของแม่ที่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
Annya pedia. (ม.ป.ป.). นิทานไทย. [ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก annya pedia.com/2014/04/blog-sport.html.
สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 6 : ไททันโอโบอา งูยักษ์แห่งแซร์อาโฮน
ทีมนักวิทยาศาสตร์สุดตื่นเต้นเมื่อพบซากฟอสซิลของ
"งูยักษ์" ในโคลอมเบีย
คาดเป็นงูสายพันธุ์ใหญ่ที่สุดและเลื้อยอยู่บนโลกเมื่อ 60 ล้านปีก่อน
มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่ารถบัส และสามารถเคี้ยวจระเข้เป็นของว่างได้เลยการค้นพบฟอสซิลงูยักษ์สายพันธุ์โบราณบริเวณเหมืองถ่านหินทางตะวันออกเฉียงของประเทศโคลอมเบีย
ระบุว่าน่าจะเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ จากการค้นพบฟอสซิลส่วนกระดูกสันหลังของงูยักษ์ดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่า เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
เจ้างูยักษ์ตัวนี้น่าจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 1 ตัน และยาวกว่า
13 เมตร โดยที่งูสายพันธุ์นี้น่าจะมีน้ำหนักมากสุดได้ถึง
2 ตัน และยาวได้เต็มที่ 15 เมตร
นักบรรพชีวินวิทยาได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้กับงูยักษ์ชนิดนี้ว่า "ไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส" (Titanoboa cerrejonensis) ซึ่งเป็นภาษาลาติน แปลได้ว่า "งูยักษ์จากแซร์อาโฮน" (titanic boa from Cerrejon) ซึ่งเป็นเมืองที่ค้นพบฟอสซิลดังกล่าว เจสัน เฮด นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ในเมืองมิสซิสซอกาประเทศแคนาดา เผยว่างูยักษ์ดึกดำบรรพ์นี้มีความใกล้ชิดกับงูเหลือมในยุคปัจจุบัน แต่น่าจะมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับงูอนาคอนดามากกว่า นั่นคือใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ และสามารถเลื้อยคลานบนพื้นดินได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนเวลาว่ายอยู่ในน้ำ และน่าจะกินจุมากพอสมควร ซึ่งอาหารของมันอาจรวมถึงปลาขนาดใหญ่และจระเข้ด้วยก็ได้
บลอชให้ข้อมูลอีกว่า ทีมวิจัยค้นพบฟอสซิลงูยักษ์นี้จากเหมืองถ่านหินในเมืองแซร์อาโฮนตั้งแต่เมื่อต้นปี 2550 โดยพบแกนกระดูกสันหลังทั้งหมดประมาณ 180 ชิ้น คาดว่าน่าจะเป็นของงูยักษ์ร่วม 12 ตัว ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยก็ยังหวังว่าจะขุดค้นพบฟอสซิลส่วนกระโหลกได้ในเร็ววัน
นักบรรพชีวินวิทยาได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้กับงูยักษ์ชนิดนี้ว่า "ไททันโอโบอา แซร์อาโฮนเอนซิส" (Titanoboa cerrejonensis) ซึ่งเป็นภาษาลาติน แปลได้ว่า "งูยักษ์จากแซร์อาโฮน" (titanic boa from Cerrejon) ซึ่งเป็นเมืองที่ค้นพบฟอสซิลดังกล่าว เจสัน เฮด นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ในเมืองมิสซิสซอกาประเทศแคนาดา เผยว่างูยักษ์ดึกดำบรรพ์นี้มีความใกล้ชิดกับงูเหลือมในยุคปัจจุบัน แต่น่าจะมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับงูอนาคอนดามากกว่า นั่นคือใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ และสามารถเลื้อยคลานบนพื้นดินได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนเวลาว่ายอยู่ในน้ำ และน่าจะกินจุมากพอสมควร ซึ่งอาหารของมันอาจรวมถึงปลาขนาดใหญ่และจระเข้ด้วยก็ได้
บลอชให้ข้อมูลอีกว่า ทีมวิจัยค้นพบฟอสซิลงูยักษ์นี้จากเหมืองถ่านหินในเมืองแซร์อาโฮนตั้งแต่เมื่อต้นปี 2550 โดยพบแกนกระดูกสันหลังทั้งหมดประมาณ 180 ชิ้น คาดว่าน่าจะเป็นของงูยักษ์ร่วม 12 ตัว ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยก็ยังหวังว่าจะขุดค้นพบฟอสซิลส่วนกระโหลกได้ในเร็ววัน
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
MGR online. (2552). อนาคอนดาชิดซ้าย ฟอสซิลงูยักษ์ใหญ่สุดเท่าที่โลกเคยมี. [ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก mrg online.com/ science/detail/9520000013713. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 7 : OUMUAMUA ผู้สอดแนมจากแดนไกล
เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2560 นักดาราศาสตร์ประกาศการค้นพบวัตถุจากนอกระบบสุริยะที่เคลื่อนที่เข้ามาในระบบสุริยะของเรา
วัตถุดังกล่าวถูกค้นพบโดย โรเบิร์ต เวริก นักดาราศาสตร์ชาวแคนาดา มีการตั้งชื่อเรียกวัตถุนี้ว่า อูมัวมัว (Oumuamua) ซึ่งเป็นภาษาฮาวาย หมายถึง ผู้สอดแนม เมื่อทำการวิเคราะห์ก็พบว่าวัตถุปริศนานี้มีความเร็วในการเคลื่อนที่เฉลี่ย
26 กิโลเมตรต่อวินาที มีความเร็วสูงสุด 87 กิโลเมตรต่อวินาที และมีวงโคจรเป็นรูปไฮเปอร์โบลา ซึ่งเมื่อเคลื่อนที่เข้ามาในระบบสุริยะแล้วมันกลับเพิ่มความเร่งได้เองเหมือนได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์และพุ่งห่างออกไปโดยไม่กลับมาอีกเลย
ความเร็วที่มากมายขนาดนี้ทำให้นักดาราศาสตร์มั่นใจว่ามันเป็นวัตถุที่พุ่งมาจากนอกระบบสุริยะอย่างแน่นอน
เพราะลำพังแรงโน้มถ่วงจากดวงอาทิตย์ไม่สามารถทำให้วัตถุมีความเร็วขนาดนี้ได้
อูมัวมัวจึงกลายเป็นวัตถุแรกจากนอกระบบสุริยะที่มนุษย์เราค้นพบ
สิ่งที่น่าสนใจคืออูมัวมัวมีความเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระหว่างที่โคจร
ทำให้มีการคาดการว่าอูมัวมัวอาจเป็นยานอวกาศของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกระบบสุริยะที่เดินทางเข้ามาในระบบสุริยะของเรา
น่าเสียดายที่เราไม่สามารถส่งยานอวกาศเข้าไปใกล้ๆอูมัวมัวแล้วถ่ายรูปมันอย่างชัดเจนได้ ภาพที่ปรากฏต่อนักดาราศาสตร์คือจุดแสงเล็กๆ
ที่เปลี่ยนความสว่างไปมา
นักดาราศาสตร์วัดแสงที่อูมัวมัวสะท้อนจากดวงอาทิตย์มาทำการวิเคราะห์เพื่อหารูปทรงของมันพบว่าอูมัวมัวมีลักษณะเป็นแท่งยาวราว
400 เมตร แต่มีความกว้างเพียง 40
เมตร หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของความยาว จึงคล้ายกับซิการ์ขนาดยักษ์
ซึ่งแตกต่างไปจากวัตถุอวกาศทั่วๆ ไปที่มีลักษณะกลม ทำให้อูมัวมัวเป็นที่น่าสงสัยว่าคล้ายยานท่องอวกาศที่มีรูปร่างยาวและแบนเหมือนในภาพยนตร์
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2561
นักวิทยาศาสตร์จาก Harvard-Smithsonian Center for
Astrophysics ตั้งข้อสังเกตว่าความเร่งของอูมัวมัวอาจจะเกิดจากแรงดันแสงอาทิตย์ก็ได้
ซึ่งอูมัวมัวอาจจะบางกว่าที่คิดกันไว้ อูมัวมัวอาจเป็น ‘เรือใบ’
ดาวฤกษ์ที่อาศัยแรงดันแสงจากดาวฤกษ์อื่นจนหลุดเข้ามาในระบบสุริยะของเรา
แล้วเดินทางต่อไปในระบบดาวอื่น แต่ปัญหาสำคัญในการศึกษาอูมัวมัวคือในตอนนี้มันโคจรห่างออกไปจนนักดาราศาสตร์ไม่สามารถสังเกตมันด้วยกล้องโทรทรรศน์ได้อีกต่อไปแล้ว มันจึงเป็นผู้มาเยือนที่ทิ้งคำถามไว้มากมาย เช่น องค์ประกอบของมันคืออะไร
มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมันมาจากที่ไหนกันแน่
กล่าวคือมันเป็นวัตถุที่มาจากระบบดาวฤกษ์ภายในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา
หรือมันโคจรหลุดมาจากระบบดาวในกาแล็กซีอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
อาจวรงค์ จันทมาศ. (2561). อูมัวมัว
ผู้มาเยือนลึกลับจากนอกระบบสุริยะที่ทิ้งปริศนาให้ชาวโลกค้นหาคำตอบ.
[ออนไลนฺ]. เข้าถึงจาก thestandard.com/oumuaamua. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 8 : สาเหตุที่ทศกัณฐ์ได้ชื่อว่า "ราพณ์"
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2513). บ่อเกิดรามมเกียรติ์. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา.
คุณแม่ของคุณยายเล่าว่าที่ลพบุรีนี้มีดินสอพองมาก ชาวเมืองลพบุรีจึงทำมาหากินกับดินสอพองนี้ เอาดินสอพองมาทำความสะอาดแล้วก้หยอดใส่กระด้งตากเป็นแถวๆ หยอดให้เป็นดอกๆ ต่างๆ กัน แล้วนับดอกขายเป็นร้อยๆ แลดูสวยเหมือนขนมอร่อยๆ เป็นขนมกลีบลำดวนก็มี ทุกๆ ปีที่ลพบุรีจะมีการประกวดหยอดดินสอพองกัน ใครหยอดได้สวยที่สุดเป็นผุ้ชนะ ฉะนั้นพวกที่มีอาชีพทำดินสอพองจึงต้องหักหยอดดินสอพองให้เก่งๆ เขาหยอดกันเป็นยอดแหลมเปี๊ยบและเสมอกันทุกๆ ดอก และมีลวดลายต่างๆ กันตามแต่ใครจะมีหัวคิดประดิดประดอยให้เป็นดอกพิสดารเป็นเกลียวเป็นริ้ว ดินสอพองนี้มีประโยชน์มากมาย ตามบ้านต้องมีไว้ประจำบ้าน หน้าร้อนก็เอามาละลายน้ำอบไทยประหน้าประตัวกันเป็นลายพร้อยไปหมด ดินสอพองนี้เป็นของเย็น ดับพิษร้อนได้ดีจึงแก้ผดหน้าร้อนได้ดี เวลาคุณยายไปช่วยหั่นพริกในครัวมาปวดแสบปวดร้อนมือ ยิ่งล้างมือก็ยิ่งร้อนไม่หายก็ต้องเอาดินสอพองนี้ทามือทิ้งไว้จะหายแสบร้อน หนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นมีสิวมากหน้าเป็นมันย่องอยู่เสมอ เอาดินสอพองมาละลายน้ำพอกหนาๆ ทิ้งไว้ทำให้เย็นช่วยให้สิวยุบ ซับน้ำมันในหน้าด้วยบางทีก็เอาดินสอพองมาผสมกับน้ำมะนาวและลิ้นทะเลนิดหน่อยทาแก้สิวกัน
จำพวกยาทาดับพิษต่างๆ เข้าดินสพองกันมาก จะขัดเครื่องเงิน ทองเหลืองหรือทองแดงให้สะอาด ก็เอาดินสอพองกับมะขามเปียกหรือเปลอกสับปะรดเปรี้ยวขัดสะอาดดี เวลาจะสงกรานต์ก็เอาช้อน ส้อม พาน ขัน พระพุทธรูป และถาดมาขัดเป็นการใหญ่ กระดุม หัวเข็มขัดก้เอามาขัดกันจนสุกปลั่งแลดูเป้นของใหม่เอี่ยมอ่องไปตามๆ กัน ดอนสอพองนี้ไม่มีอันตรายมีแต่คุณประโยชน์ซำ้ราคาถูกแสนถูก ซื้อสตางค์เดียวเยอะแยะใช้ได้ตั้งนาน "แป้ง ขมิ้น ดอนสอพอง" เป็นเครืื่องสำอางของไทยมาแต่โบราณ แม่ค้ามักขายควบกันไปเลย
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา. (2560). เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 30). กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร.
กลอนสุภาพ พ่อแม่รังแกฉัน เป็นผลงานเขียนของ พระยาอุปกิตศิลปสาร
เรื่องย่อ...งิ้วเรื่องหนึ่งซึ่งซินแสเคยดูตั้งแต่วัยเด็ก และใช้เป็นคติสอนใจเรื่อยมา เนื้อเรื่องกล่าวถึงเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว จึงรักและหลงลูกชายมาก หวังจะให้เป็นผู้สืบสกุลต่อไป เมื่อเข้าสู่วัยเรียน เศรษฐีได้จ้างครูมาสอนที่บ้านเพราะกลัวลูกลำบาก แต่ด้วยนิสัยที่ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนของลูกเศรษฐี เมื่อถูกครูเข้มงวดในการเรียนก็ไม่พอใจ เป็นเหตุให้เศรษฐีต้องเลิกจ้างครูสอนไปคนแล้วคนเล่า ต่อมา เศรษฐีได้ครูสอนที่ตามใจ เพราะเป็นครูหวังเพียงค่าจ้าง ลูกเศรษฐีมีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง พอใจแต่จะเล่นสนุกกับเพื่อนไปวัน ๆ เมื่อลูกเศรษฐีโตเป็นผู้ใหญ่ จึกไม่มีความรู้ติดตัว ต่อมา บิดามารดาเสียชีวิต มรดกจึงตกเป็นของลูกเศรษฐีทั้งหมด ด้วยนิสัยที่เป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย และคบเพื่อนที่ไม่ดีประกอบกับไม่รู้จักทำงาน ในที่สุดมรดกก็หมดไป ลูกเศรษฐีต้องไปเป็นขอทาน โดยคิดว่าที่ต้องเป็นขอทานเพราะถูก พ่อแม่รังแกโดยการตามใจตนเองทุกอย่างจนเสียคนอย่างที่เป็นอยู่นี้ วันหนึ่งลูกเศรษฐีไปขอทางที่หน้าบ้านซินแส ซินแสเห็นลักษณะเป็นลูกผู้ดี จึงอาสาเป็นผู้อบรมสั่งสอนวิชาชีพและความประพฤติให้ลูกเศรษฐี ครั้นเมื่อลูกเศรษฐีได้สำนึกผิด จึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับซินแส จนสามารถทำงานประกอบอาชีพและพึ่งตนเองได้ในเวลาต่อมา...
เรื่องย่อ...งิ้วเรื่องหนึ่งซึ่งซินแสเคยดูตั้งแต่วัยเด็ก และใช้เป็นคติสอนใจเรื่อยมา เนื้อเรื่องกล่าวถึงเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว จึงรักและหลงลูกชายมาก หวังจะให้เป็นผู้สืบสกุลต่อไป เมื่อเข้าสู่วัยเรียน เศรษฐีได้จ้างครูมาสอนที่บ้านเพราะกลัวลูกลำบาก แต่ด้วยนิสัยที่ไม่สนใจศึกษาเล่าเรียนของลูกเศรษฐี เมื่อถูกครูเข้มงวดในการเรียนก็ไม่พอใจ เป็นเหตุให้เศรษฐีต้องเลิกจ้างครูสอนไปคนแล้วคนเล่า ต่อมา เศรษฐีได้ครูสอนที่ตามใจ เพราะเป็นครูหวังเพียงค่าจ้าง ลูกเศรษฐีมีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง พอใจแต่จะเล่นสนุกกับเพื่อนไปวัน ๆ เมื่อลูกเศรษฐีโตเป็นผู้ใหญ่ จึกไม่มีความรู้ติดตัว ต่อมา บิดามารดาเสียชีวิต มรดกจึงตกเป็นของลูกเศรษฐีทั้งหมด ด้วยนิสัยที่เป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย และคบเพื่อนที่ไม่ดีประกอบกับไม่รู้จักทำงาน ในที่สุดมรดกก็หมดไป ลูกเศรษฐีต้องไปเป็นขอทาน โดยคิดว่าที่ต้องเป็นขอทานเพราะถูก พ่อแม่รังแกโดยการตามใจตนเองทุกอย่างจนเสียคนอย่างที่เป็นอยู่นี้ วันหนึ่งลูกเศรษฐีไปขอทางที่หน้าบ้านซินแส ซินแสเห็นลักษณะเป็นลูกผู้ดี จึงอาสาเป็นผู้อบรมสั่งสอนวิชาชีพและความประพฤติให้ลูกเศรษฐี ครั้นเมื่อลูกเศรษฐีได้สำนึกผิด จึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับซินแส จนสามารถทำงานประกอบอาชีพและพึ่งตนเองได้ในเวลาต่อมา...
"ท่านเจ้าข้า! พ่อแม่รังแกฉัน
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉันทำผิดคิดระยำกลับค้ำชู
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร"
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉันทำผิดคิดระยำกลับค้ำชู
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร"
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
ลิตเติลเกิรล์. (2559). พ่อแม่รังแกฉัน. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก homelittlegirl.com/ index.php?topic=7399.
สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 11 : มงคลชีวิต 38 ประการ
มงคลชีวิต 38 ประการเป็นหมวดธรรมที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและในการนำไปปฏิบัติเพราะเป็นหมวดธรรมที่เป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวเนื่องกัน สามารถนำไปในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม มงคลชีวิต 38 ประการ จึงเป็น
"คุณธรรม" ที่หากยึดปฏิบัติแล้ว จะส่งให้ชีวิตพบเจอแต่ความสุข ความเจริญ
ซึ่ง คำว่า "มงคล" นั่นหมายถึง
เหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต
มงคล คือ เหตุแห่งความสุขและความก้าวหน้าในการใช้ชีวิต พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำไปปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาของเทวดาที่ทูลถามว่า "คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญมีหรือไม่อย่างไร" พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีจากนั้นจึงตรัสมงคลสูตร สรุปเป็นหัวข้อดังนี้
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
Kapook. (2555). มงคล 38 ประการ หลักธรรมนำทางชีวิตสู่ความสุข. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก hilight.kapook.com/ view/73901. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
ในยุคปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน (smartphone) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น
รวมไปถึงการเปิดตัวสมาร์ทโฟนหลากหลายยี่ห้อ
ทำให้จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จากรายงานในปี ค.ศ. 2012
พบว่าวัยรุ่นอเมริกัน ร้อยละ 37 ครอบครองโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ.2011 กว่าร้อยละ 23 และมีถึงร้อยละ 95 ใช้บริการอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือของตน
เช่นเดียวกันกับประเทศเกาหลี การใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ในเด็กและวัยรุ่น
เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 7.5 ในปี ค.ศ.2009 เป็นร้อยละ 67 ในปี ค.ศ.2012
Dr. Lee และคณะ ผู้ทำการศึกษาผลของการติดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนในเด็กวัยรุ่นเกาหลี กล่าวว่า โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย ทำให้เกิดความสะดวกและเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ที่มากเกินไปได้ ในการศึกษาที่ได้ทำในเด็กวัยรุ่น 195 คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน โดยให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ทำแบบทดสอบพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน 2010 Smart-phone Addiction Rating Scale (SARS) และ The Young Internet Addiction Scale (YIAS) และแบบทดสอบ Youth Self Report (K-YSR) เพื่อประเมินอาการทางจิตและปัญหาด้านพฤติกรรม จากผลการทดสอบพบว่าในวัยรุ่นแต่ละราย มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสามไปในทิศทางเดียวกัน
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนต่ำ มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสามต่ำกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในทางตรงกันข้ามกลุ่มที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสูง มีคะแนนจากแบบทดสอบสูงกว่ากลุ่มอื่น จากแบบทดสอบยังพบว่าในกลุ่มนี้มีอาการผิดปกติ เช่น อาการลงแดงหากไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต/โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน มีปัญหาทางการคิด มีอาการซึมเศร้าหรือกระวนกระวาย สมาธิสั้น และมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งมีโอกาสส่งผลต่อการเข้าสังคมและพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กได้
Dr. Lee และคณะ ผู้ทำการศึกษาผลของการติดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนในเด็กวัยรุ่นเกาหลี กล่าวว่า โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนมีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย ทำให้เกิดความสะดวกและเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ที่มากเกินไปได้ ในการศึกษาที่ได้ทำในเด็กวัยรุ่น 195 คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน โดยให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ทำแบบทดสอบพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน 2010 Smart-phone Addiction Rating Scale (SARS) และ The Young Internet Addiction Scale (YIAS) และแบบทดสอบ Youth Self Report (K-YSR) เพื่อประเมินอาการทางจิตและปัญหาด้านพฤติกรรม จากผลการทดสอบพบว่าในวัยรุ่นแต่ละราย มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสามไปในทิศทางเดียวกัน
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนต่ำ มีคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสามต่ำกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในทางตรงกันข้ามกลุ่มที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสูง มีคะแนนจากแบบทดสอบสูงกว่ากลุ่มอื่น จากแบบทดสอบยังพบว่าในกลุ่มนี้มีอาการผิดปกติ เช่น อาการลงแดงหากไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ต/โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน มีปัญหาทางการคิด มีอาการซึมเศร้าหรือกระวนกระวาย สมาธิสั้น และมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งมีโอกาสส่งผลต่อการเข้าสังคมและพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กได้
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
หน่วยคลังข้อมูลยา. (255ุ6). การติดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนอาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและวัยรุ่่น.
[ออนไลน์]. เข้าถึงจาก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=1132.
สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 13 : พระจันทร์ยิ้ม
ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือน หรือ ปรากฏการณ์พระจันทร์ยิ้ม เป็นปรากฏการณ์ที่มีลักษณะคล้ายใบหน้าคนกำลังยิ้ม โดยดาวคู่ดังกล่าว
ได้แก่ ดาวศุกร์ และดาวพฤหัสบดี เมื่อมองจากโลก
จะอยู่ห่างกัน 2 องศา ในระยะท้องฟ้า และจะมีดวงจันทร์เสี้ยว ขึ้น
3 ค่ำ อยู่ด้านล่างระหว่างดาวทั้งสองดวง และห่างกัน 2
องศา ซึ่งสามารถสังเกตได้ในประเทศไทยครั้งล่าสุดเมื่อ 29-30 พฤศจิกายน พ.ศ. 25ุ62 ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนจะเกิดขึ้น
2
ครั้ง ห่างกันประมาณ 10 เดือน ทุก ๆ 2 ปีครึ่ง มีลักษณะเป็นดวงดาว 3 ดวง ซึ่งได้แก่
ดาวศุกร์ (ดาวประจำเมือง) ดาวพฤหัสบดี และ ดวงจันทร์ โคจรเข้ามาใกล้กัน
โดยดวงจันทร์หงายอยู่ด้านล่างของดาวอีก 2 ดวง
และอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ปรากฏการณ์นี้จะมองเห็นได้ไม่นานนัก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นช่วงเวลาหัวค่ำ
เพราะดาวจะตกเร็วลับจากขอบฟ้าจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2560). ปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/
ปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน.สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 14 : สัญลักษณ์วันคริสมาสต์
ต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาส
ที่นำเอาต้นสนมาประดับประดา ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส
มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี
ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ
ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก
ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต
และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน
ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่
19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก
และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง
ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า
อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด
และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในช่วงเทศกาลคริสต์มาสมีหลากหลาย
เช่น สีแดงของผลฮอลลี่หรือซานตาคลอส, สีเขียวของต้นไม้,
สีทองของเทียนและดวงดาว, สีขาวโพรนของทุ่งหิมะ
สีแดง
: เป็นสีที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นมากที่สุดและเป็นสีของเดือนธันวาคม
ซึ่งตามสัญลักษณ์ตามศาสนานั้น หมายถึงไฟ, เลือด
และความโอบอ้อมอารี
สีเขียว
: เป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ, ความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์
ซึ่งก็เปรียบได้ว่าคริสต์มาสนั้นเป็นเสมือนเทศกาลแห่งความหวังด้วย
สีขาว : คือสัญลักษณ์ทางศาสนา
ซึ่งได้แก่ แสงสว่าง,
ความบริสุทธิ์, ความสุขและความรุ่งเรือง
สีขาวคือสีที่มักจะเห็นบนเสื้อคลุมของนางฟ้าคริสต์มาส, เคราของซานตาคลอส,
ริมชายเสื้อสีขาวของชุดซานตาคลอส, หิมะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและสะเก็ดของหิมะ
สีทอง
: เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว
นอกจากนี้ยังเป็นสีของดาวคริสต์มาส,เครื่องประดับ,เทียน,หลอดไฟ
💚💚💚💚💚💚💚💚
บทอ่านเรื่องที่ 15 : มนุษย์กับหน้าที่พลเมือง
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
YUWADEE. (2561). สัญลักษณ์วันคริสมาสต์. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก https://teen.mthai.com/variety/122996.html.
สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
บทอ่านเรื่องที่ 15 : มนุษย์กับหน้าที่พลเมือง
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก
1. เคารพกฎหมายและปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ข้อบังคับของสังคม เมื่อพลเมืองทุกคนปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับของสังคม
และบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น ไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
หรือไม่กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนดก็จะทำให้รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณในการป้องกัน
ปราบปรามและจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษ
นอกจากนี้ยังทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบสงบสุขทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
ไม่หวาดระแวงคิดร้ายต่อกัน
2.เป็นผู้มีเหตุผล
และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกคนย่อมมีอิสรเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
ซึ่งการรู้จักการใช้เหตุผลในการดำเนินงาน จะทำให้ช่วยประสานความสัมพันธ์
ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีงามต่อกัน
3.ยอมรับมติของเสียงส่วนใหญ่
เมื่อมีความขัดแย้งกันในการดำเนินกิจกรรมอันเกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
และจำเป็นต้องตัดสินปัญหาด้วยการใช้เสียงข้างมากเข้าช่วย และมติส่วนใหญ่ตกลงว่าอย่างไร
ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงกับความคิดของเรา เราก็ต้องปฏิบัติตาม
เพราะเป็นมติของเสียงส่วนใหญ่นั้น
4.เป็นผู้นำมีน้ำใจประชาธิปไตย
และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ผู้ที่มีความเป็นประชาธิปไตยนั้น
จะต้องมีความเสียสละในเรื่องที่จำเป็น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมและรักษาไว้ซึ่งสังคมประชาธิปไตย เป็นการส่งผลต่อความมั่นคงและความก้าวหน้าขององค์กร ซึ่งสุดท้ายแล้วผลประโยชน์ดังกล่าวก็ย้อนกลับมาสู่สมาชิกของสังคม เช่นการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ถึงแม้ว่าเราจะมีอาชีพบางอย่างที่มีรายได้ตลอดเวลา
เช่นค้าขาย แต่ก็ยอมเสียเวลาค้าขายเพื่อไปลงสิทธิ์เลือกตั้ง
บางครั้งเราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือกิจกรรมส่วนร่วม เช่น
การสมัครเป็นกรรมการเลือกตั้ง หรือสมาคมบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม
เป็นต้น
5.เคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
ควรรูจักเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเช่นบุคคลมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด แต่ต้องไม่เป็นการพูดแสดงความคิดเห็นที่ใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียหาย
6.มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม
ชุมชน ประเทศชาติ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ย่อมต้องมีการทำงานเป็นหมู่คณะ
จึงต้องมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในงานนั้นๆให้สมาชิกแต่ละคนนำไปปฏิบัติตามที่ได้รับหมอบหมายไว้อย่างเต็มที่
7.มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมือง
การปกครอง
ในสังคมประชาธิปไตยนั้นสมาชิกทุกคนต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมืองการปกครอง เช่น
การเลือกตั้ง เป็นต้น
8.มีส่วนร่วมในการป้องกัน
แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง ช่วยสอดส่องพฤติกรรมมั่วสุมของเยาวชนในสถานบันเทิงต่าง
ไม่หลงเชื่อข่าวลือคำกล่าวร้ายโจมตี ไม่มองผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเราเป็นศัตรู
รวมถึงสงเสริมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆด้วยสันติวิธี
9. มีคุณธรรม จริยธรรม
และปฏิบัติตนตามหลักธรรม ทุกคนควรมีศีลธรรมไว้เป็นหลักในการควบคุมพฤติกรรมของบุคลให้ดำเนินไปอย่างเหมาะสม
ถึงแม้จะไม่มีบทลงโทษใดๆก็ตาม
💚💚💚💚💚💚💚💚
อ้างอิง :
พุฒทา แสนสมัคร และคณะ. (2558). มนุษย์กับหน้าที่พลเมือง. [ออนไลน์]. เข้าถึงจาก bloggergroup5.blogspot.com/
2016/09/blog-post_34.html. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
2016/09/blog-post_34.html. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2562.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น