วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

...." สักวันหนึ่ง".....





“สักวันหนึ่ง...”

...........................................................................................................................................


                      ก๊อก ๆ ๆ ...เสียงแปรงลบกระดานกระทบลงกับโต๊ะดังไปทั่วห้อง เจ้าของโต๊ะยังหมอบสนิทไม่รับรู้ถึงเสียงข้างๆหู  ก๊อกๆ ๆ เสียงนั่นดังถี่และแรงขึ้น เจ้าของโต๊ะจึงได้สะลึมสะลือเงยหน้าขึ้นมาดวงตาแดงก่ำเหมือนคนอดนอนมาหลายคืน
               “ หลับ ได้หลับดีเหลือเกินนะ...คุณมีโชค” ครูพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม แต่แฝงไปด้วยความเอือมระอากับนักเรียนคนนี้เต็มทน  

            “ก็ผมง่วงนี่ครับจารย์” มีโชคเผยอหน้าขึ้นตอบอย่างพอไปทีแล้วทำท่าจะฟุบหน้ากับโต๊ะต่อไปโดยไม่สนใจกับครูที่ยืนตรงหน้า
      “นี่มันคาบสอนของครู...ถ้าเธอจะหลับก็ไปหลับที่อื่น ถ้าในห้องเรียนครูไม่อนุญาต” ครูพูดน้ำเสียงขึงขังจริงจัง นักเรียนคนอื่นๆเงียบกริบ ยกเว้นมีโชคที่คงแสดงพฤติกรรมไม่สบอารมณ์กับครูเท่าไรนัก
       “ อะไร..นักหนา..เอ้ย..” มีโชคลุกขึ้นพลางสะบัดคำพูดไม่พอใจใส่ครูจากนั้นก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่แยแสใดๆทั้งสิ้น..ครูและเพื่อนๆต่างมองตามหลังไปด้วยความตะลึงและงงงวยกับพฤติกรรมนั้น
.........................................................................................................................................................................
       กลางแดดร้อนแม่ของมีโชคกระเต็งหาบเร่ขายขนมถ้วยไปตามข้างถนน ด้วยอากาศที่ร้อนเหงื่อแกไหลโทรมหน้าโทรมตัวแต่แกก็พยายามเดินเร่ขายไปเรื่อยๆ ปากก็ร้องเรียกลูกค้าไปพลางมือก็ปาดเหงื่อไปพลาง สายตาก็ต้องคอยมองระวังรถราที่แล่นไปมาอีกด้วยนางนึกถึงว่าวันนี้จะต้องขายขนมถ้วยให้หมดไวๆจะได้รีบกลับบ้านไปเตรียมหุงหาอาหารรอลูกชาย
............................................................................................................................................................................
         ช่วงพักกลางวันมีโชคนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนกับกลุ่มเพื่อน 3 - 4 คน
         “ เฮ้ย..ไอ้โชค กูถามจริงเฮอะว่ะ...มึงมีปัญหาอะไรกับครูอาทป่ะว่ะ กูเห็นแม่งหลับคาบเขาตลอด บางทีมึงก็กวนเขาอีก”  โต้งถามอย่างสงสัย
         “ก็กูเบื่อวิชานั่นนี่หว่า..แม่งกูก็ง่วงนอน....มาเซ้าซี้จุกจิกอยู่ได้..รำคาญ”  มีโชคตอบอย่างหงุดหงิด
          “เฮ้ย..เขาเป็นครูนะเว้ย..” “มึงก็อย่าหลับตอนเรียนอีกดิหว่ะ”
          “เรื่องของกู..ไอ้ห่าโต้ง...เดี่ยวคราวหน้ากูโดดแม่งเลย..คอยดูละกัน”
............................................................................................................................................................................
           วันนี้ดวงไม่ค่อยดีเท่าไรแม่มีโชคขายขนมหมดช้าทำให้กลับบ้านเย็นกว่าทุกวัน เมื่อไปถึงบ้านแกรีบเอาหาบวางลงบนแคร่หน้าบ้านจากนั้นก็เข้าไปในบ้านเพื่อหุงหาอาหารเย็น ขณะนั้นมีโชคกำลังนอนเล่นเกมโทรศัพท์อยู่หน้าทีวีเก่าๆ เมื่อเห็นแม่เข้ามามีโชคก็ปรายสายตามองแล้วพูดว่า
            “แม่วันนี้มีอะไรกินบ้าง...หิวข้าวแล้วเนี้ยะ” ขณะพูดมือและสายตาก็ยังไม่ลดละจากโทรศัพท์
          “รอแป๊บหนึ่ง..เดี่ยวแม่หุงข้าวก่อน..” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แววตานั้นฉายความรู้สึกว่าลูกชายคนเดียวของนางจะทำให้นางภูมิใจได้หรือเปล่านะ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องดูแลอย่างเต็มที่ สักพักใหญ่ๆนางจัดแจงจัดสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้วจึงเรียกลูกชายให้มากินข้าว มีโชคลุกมานั่งมองกับข้าว
                “ไข่เจียวอีกและ” มีโชคทำหน้าเบื่อหน่ายกับข้าว แต่ก็ตักใส่ปากจนหมด
            “โชค..วันนี้แม่เจอครูอาทที่ตลาด ครูบอกว่าลูกไม่สนใจเรียนเลย แถมยังแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใส่ครูเขาอีก” 
          “โอ้ย..แม่จะเชื่อครูอะไรนักหนาเนี๊ยะ..ครูเขาคงไม่ชอบผมเลยพูดแบบนี้..” มีโชคตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
                “แต่แม่ว่า...ลูกตั้งใจเรียนบ้างก็ดีนะ..เพราะคะแนนแต่ละวิชาของลูกก็ไม่ดีเลย แม่เป็นห่วง”
                “ชั่งเหอะแม่..ผมเอาตัวรอดได้...”
                “เอาตัวรอดยังไง...ลูกก็รู้ว่าบ้านเราจน แม่ก็ต้องหาบเร่ขายขนมไปวันๆ ถ้ามัวแต่ทำตัวแบบนี้ ลองคิดสิว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง...” แม่มีโชคพูดเสียงเข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ใส่ใจคำพูดของตน
                “แม่อย่ายุ่งกับชีวิตผมได้ไหม...” มีโชคเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
                “ก็ได้ แม่จะไม่ยุ่งกับชีวิตแกก็ได้ ถ้าแกตั้งใจเรียนและทำตัวดีกว่านี้น่ะ” แม่มีโชคเสียงดังบ้าง
              “ แม่คอยดูก็แล้วกัน..สักวันหนึ่งถ้าผมเรียนจบทำงานมีเงินเดือนเยอะๆ ขึ้นมานะ” มีโชคพูดด้วยอารมณ์โกรธจากนั้นก็ลุกเดินเข้าไปในห้องโดยไม่เหลียวมามองแม้แต่น้อยเพราะสายตากำลังก้มดูเกมในโทรศัพท์อยู่นั่นเอง
                ในห้องมีโชคนอนเล่นเกมในโทรศัพท์อย่างสนุกสนานจนดึกดื่น รุ่งขึ้นมีโชคไปโรงเรียนสายจึงตัดสินใจไม่ขึ้นเรียนแต่หลบมานอนที่ม้าหินอ่อนข้างสนามบาสช่วงสายฝ่ายปกครองเรียกตัวมีโชคไปพบเมื่อไปถึงก็พบครูอาทนั่งรออยู่แล้วพร้อมกับครูฝ่ายปกครองและแม่ของมีโชค มีโชคทำหน้าตกใจเล็กน้อย จากนั้นครูก็พูดถึงพฤติกรรมการหลับในห้องเรียน ไม่สนใจเรียน และโดดเรียน รวมไปถึงพฤติกรรมก้าวร้าวอื่นๆ เมื่อมีโชครับในความผิดของตนแล้ว..ครูอาทจึงลงโทษด้วยการตี 1 ครั้งต่อหน้าทุกคน
              “ที่ครูลงโทษเพราะอยากให้เธอคิดได้บ้าง ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ..ชีวิตคนมันไม่แน่นอน เวลามันก็ไม่คอยท่าใคร..ถ้าเธอมัวแต่ทำตัวแบบนี้ แล้วเมื่อไรจะฉลาดและเรียนเก่งทันคนอื่นเขา ต่อไปจะทำงานอะไรเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงแม่ของเธอ ..ทำไมเธอยังคิดไม่ได้ซะที” ครูอาททิ้งช่วงคำพูด แล้วตีด้วยไม้เรียวไปหนึ่งที มีโชคทำหน้าเคียดแค้นแต่ก็กอดอกยอมให้ตีโดยไม่ปริปาก จากนั้นครูฝ่ายปกครองหันมาพูดกับแม่ของมีโชคว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีโชคยังคงทำเป็นปกติโดยไม่คิดแก้ไขปรับปรุงตัวเองเลยทั้งๆที่โรงเรียนให้โอกาสมาหลายครั้งแล้ว ความผิดครั้งนี้คงต้องให้พักการเรียนไปก่อน แม่มีโชคน้ำตาซึมอ้อนวอนขอโอกาสให้ลูกชายแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะพฤติกรรมของมีโชคที่เกิดขึ้นซ้ำซากนั่นเอง สุดท้ายแม่มีโชคจึงต้องให้ลูกชายพักการเรียน วันรุ่งขึ้นมีโชคมาโรงเรียนเป็นวันสุดท้ายเพื่อนๆในห้องต่างเตรียมการ์ดอวยพรเตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆเท่าที่มีมอบให้กันทั่วหน้า รวมถึงครูอาทเองก็ได้มอบกล่องของขวัญผูกโบเล็กๆสวยงามให้กล่องหนึ่ง มีโชคแปลกใจที่ครูอาทยังทำดีกับตนอยู่ทั้งๆที่ผ่านมาตนทำไม่ดีกับครูหลายครั้งจนนึกว่าครูคงโกรธและเกลียดตนไปแล้ว มีโชคมองหน้าครูอาทแล้วยกมือไหว้ก่อนรับกล่องของขวัญชิ้นนั้นไป
............................................................................................................................................................................
                เย็นนั้นมีโชคนั่งหน้าโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ พลางหยิบการ์ดอวยพรและของขวัญของเพื่อนๆมาดูมาอ่านทีละใบ ทีละชิ้น จนถึงชิ้นสุดท้ายมีโชคหยิบกล่องของขวัญที่ครูอาทมอบให้ขึ้นมา มันเป็นกล่องเล็กๆผูกโบสีสวย มีโชคพิจารณาแล้วลองเขย่าดูแต่ก็ไม่มีเสียงดังอะไร มีโชคจึงเอาไปวางทิ้งไว้บนโทรทัศน์ ส่วนการ์ดอวยพรของเพื่อนๆนำใส่ถุงเอาไว้ในลังเก่าในห้องของมีโชคนั่นเอง มีโชคบอกแม่ว่าจะไม่เรียนอีกแล้วจะไปหางานทำเอาเงินมาช่วยแม่ใช้จ่ายในบ้าน ถึงแม้ผู้เป็นแม่จะห้ามปรามบอกว่าให้หาที่เรียนต่อให้จบ ม.3 ก่อนก็ยังดี แต่มีโชคก็ไม่ฟังสุดท้ายนางจึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย
              หลายวันจากนั้นมีโชคเดินตระเวนหางานทำในเมืองแต่ก็ยังไม่ได้งานทำสักที เนื่องจากอายุยังน้อยและใบประกาศสมัครงานที่ติดตามเสาไฟ ตู้โทรศัพท์ ที่นั่งรอรถ หรือหน้าร้าน บริษัท ล้วนระบุวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ที่จำเป็น เช่น
            “รับสมัครพนักงานบัญชี วุฒิปริญญาตรี” 
            “รับวุฒิ ม.3 - 6 พนักงานขับรถ มีประสบการณ์จะพิจารณาเป็นพิเศษ”
            “ต้องการสมัครพนักงานเสิร์ฟ 2  ตำแหน่ง อายุ 18  ปี ขึ้นไป”
             วันนี้มีโชคเดินหางานจนเหนื่อยเพราะแดดร้อน จึงมานั่งพักบริเวณที่พักผู้โดยสาร สายตาเหม่อมองไปยังผู้คนที่เดินพลุกพล่านไปมา พลางคิดว่าบางคนอาจจะกำลังหางานแบบตน หรือบางคนคงเดินทางไปจับจ่ายซื้อของตามฐานะการเงินที่อำนวย  จากนั้นจึงมาคิดว่าตนเองเรียนไม่จบ ม.3 ด้วยซ้ำ เงินก็ไม่มี งานก็ยังหาไม่ได้ ถ้าทุกวันยังคงเป็นแบบนี้ทั้งตนเองและแม่คงลำบากแน่...พลันมีโชคเหลือบไปเห็นใบปลิวโฆษณาแผ่นหนึ่งปลิวมาติดที่รองเท้าพอดี มีโชคคว้าขึ้นมาอ่าน จากนั้นภายในใจมีโชคจึงเริ่มมีความหวังขึ้น ในนั้นเขียนว่า.. 
         “รับสมัครคนงานไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ไม่ต้องมีประสบการณ์”  มีโชคพิจารณาแล้วตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องเริ่มทำงานนี้ก่อนก็ยังดี ดีกว่าตกงานไม่มีเงินใช้
............................................................................................................................................................................
       แดดกลางวันร้อนปานหัวจะแตก มีโชคกำลังตั้งหน้าตั้งตาตัดอ้อยกลางไร่อันกว้างใหญ่ โดยมีเพื่อนๆร่วมอาชีพกระจายกันตัดตามจุดที่กำหนด มีโชคพักเอามือปาดเหงื่อที่รินไหลอาบหน้า สักครู่เสียงสัญญาณเรียกให้พักเที่ยงดังมาทำให้ใจชื่นขึ้นมาบ้าง มีโชควิ่งไปหลบร้อนใต้ไม้ใหญ่กับพวกผู้ใหญ่อื่นๆ เพื่อเตรียมตัวกินข้าวกลางวันหลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำงานต่อในเวลาบ่ายโมงจนถึงห้าโมงเย็นทุกวัน เป็นแบบนี้วันแล้ววันเล่า ผ่านไปหลายเดือน จากเดือนเป็นปี จนล่วงมาขณะนี้มีโชคทำงานที่ไร่อ้อยได้ 3 ปี แล้ว เพื่อนๆที่โรงเรียนคงจบกันหมดแล้วบางคนอาจจะกำลังหางานทำ หรือบางคนอาจกำลังเรียนต่อปริญญาตรี
           “ เฮ้ย..โชค...เหม่ออะไรว่ะ”  หัวหน้าไร่อ้อยถามขณะพักเที่ยงวันหนึ่ง
           “เปล่าครับพี่..พอดีคิดถึงเพื่อนเก่าหน่ะ...พรุ่งนี้กะว่าจะลางานไปเยี่ยมเพื่อนพ้องสักหน่อยครับ”
           “ เองนี่ทำงานที่นี่ทนดีหว่ะ..ข้าชอบ เออๆ ได้ ข้าอนุญาตให้ลาพรุ่งนี้ 1 วัน น่ะ” หัวหน้าตบบ่า
           “ขอบคุณครับพี่”
............................................................................................................................................................................
          เมื่อกลับถึงบ้านมีโชครีบโทรศัพท์หาเพื่อนๆสมัยเรียน ม.3 จากเบอร์เก่าๆที่เก็บไว้ หลายคนโทรไม่ติด แต่ก็มีเบอร์ของโต้งที่โทรติด
           “เฮ้ย..ห่าโต้ง...กูโทรหามึงตั้งนานกว่าจะติด..สบายดีป่ะวะ”  มีโชคพูดด้วยความดีใจที่ยังติดต่อเพื่อนเก่าได้บ้าง
              “ไอ้โชคเหรอะวะ...แม่งหายหน้าไปนานนะมึง...เออ กูสบายดี”
          “เฮ้ย..พรุ่งนี้มาเจอกันหน่อยดิว่ะ กูคิดถึงพวกมึงว่ะ กูโทรหาหลายคนแล้วไม่ติด ติดอยู่มึงคนเดียวเนี๊ยะ” มีโชคพูด
             “พรุ่งนี้เหรอ..คงไม่ได้ว่ะ กูติดเรียนที่มหาลัย โทษทีว่ะ”
              “แล้วมึงพอมีเบอร์เพื่อนคนอื่นๆอีกหรือเปล่าว่ะ”
              “ไม่มีเลย กูไม่ได้ติดต่อใครเลย...แต่เดี่ยวถ้าเจอเพื่อนๆ จะขอเบอร์ไว้ให้น่ะ”
              “โอเค งั้นแค่นี้ก่อนนะ กูขออ่านหนังสือสอบพรุ่งนี้ก่อนนะ..เดี๋ยวว่างๆค่อยเจอกันเพื่อน”
             “ ได้ๆ เพื่อน.. โชคดีว่ะ” มีโชคตอบทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
           จากนั้นจึงลุกออกมาว่าจะไปหยิบขวดน้ำมาดื่ม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องของขวัญเก่าๆที่วางอยู่บนโทรทัศน์ จากสีสวยตอนแรกๆ บัดนี้สีซีดจางไปบ้าง เพราะมันถูกวางทิ้งอยู่เช่นนั้นมาหลายปีแล้ว มีโชคเอื้อมมือหยิบขึ้นมาดู อ๋อ...ของขวัญที่ครูอาทให้ตอนนั้นนั่นเอง...มีโชคนึกถึงครูอาทขึ้นมาทันที....ในนี้มันจะมีอะไรนะ  มีโชคสงสัย จึงนำไปนั่งแกะดูในห้อง
............................................................................................................................................................................
         เช้านี้มีโชคแต่งตัวดูดีเป็นพิเศษ บอกแม่ว่าลางานจะไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าเพราะตั้งใจว่าจะไปไหว้ครูอาทที่โรงเรียนสักหน่อยและจะนำพวงมาลัยมะลิหอมๆนี้ไปไหว้ขอขมาท่านด้วย ที่ผ่านมาเคยแสดงพฤติกรรมไม่ดีกับท่านไว้เยอะ วันนี้อาจารย์จะยังจำเราได้หรือเปล่านะ...มีโชคคิด  เมื่อมาถึงโรงเรียนมีโชครีบเดินตรงไปที่ห้องพักครูทันทีสายตามองดูมาลัยที่เตรียมมาด้วยใจตื้นตัน วันนี้จะไปไหว้ครูอาทให้ได้เพื่อขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับท่านไว้สมัยยังเรียนอยู่ที่นี่ ที่ผ่านมามีโชคก็ไม่เคยยกมือไหว้หรือทำความเคารพท่านเลยสักครั้ง  เมื่อไปถึงห้องพักครูมีโชคเปิดประตูกระจกเข้าไป มองเห็นครูหลายท่านนั่งอยู่ ซึ่งเป็นครูหน้าใหม่ๆที่มีโชคไม่รู้จักทั้งสิ้น แต่ไม่พบครูอาท 
         "สงสัยสอนเพลินและปล่อยเด็กช้าตามเคย" มีโชคคิดแต่เพื่อให้แน่ใจมีโชคจึงถามครูที่นั่งอยู่ในห้องนั้นว่า
          “ขออนุญาตครับ ไม่ทราบว่าครูอาท อยู่หรือเปล่าครับ” มีโชคเอ่ยถามด้วยชื่อเล่นของครูอาท ส่วนชื่อจริงนั้นจำแทบไม่ได้
           ครูที่นั่งใกล้ประตูท่านหนึ่งเงยหน้าขึ้นมามองมีโชคอย่างพิจารณาแล้วตอบว่า
          “ครูอาท ไหนละ....ครูอาท ปานเทพ ชาญวิทยา หรือเปล่า” ครูท่านนั้นถามกลับ
          “เอ่อ..ใช่ครับ...คือผมเคยเรียนกับท่านนะครับ พอดีวันนี้กะว่าจะมาเยี่ยมท่านสักหน่อยครับ  ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านอยู่หรือเปล่าครับ”   มีโชคตอบอย่างยินดี
       “ครูอาท น่ะ เขาย้ายโรงเรียนไปนานแล้วล่ะ ไปอยู่แถวๆ เมืองชลโน้นเหนะ” ครูท่านนั้นตอบ
           พอมีโชคได้ฟังว่าครูอาทย้ายโรงเรียนไปนานแล้ว ในใจกลับรู้สึกแปล็บๆ อย่างผิดหวังความตั้งใจที่มีมาวันนี้มลายหายไปหมดสิ้น มีโชคไม่มีโอกาสที่จะพบครูอาทอีกแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะไหว้ขอโทษท่านในทุกๆสิ่งที่ผ่านมาอีกแล้ว มาลัยที่เตรียมมาวันนี้กลับกลายเป็นสิ่งศูนย์เปล่า มีโชคนิ่งเงียบแต่ใบหน้าฉายแววหมองเศร้า จากนั้นจึงขอลาครูในห้องพักครูเดินออกมาจากโรงเรียนด้วยใจหม่นหมอง ไม่นึกว่าครูอาทจะย้ายโรงเรียนไปที่อื่น เพราะหลังจากมีโชคถูกให้ออกจากโรงเรียนคราวนั้นก็เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาไหว้ขอโทษท่านกับสิ่งที่เคยล่วงเกินไป ไม่นึกว่าเมื่อโอกาสวันนี้มาถึงสิ่งที่มีโชคได้รับรู้ก็คือครูอาทย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว มีโชคไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้อีกแล้วตอนนี้ คงมีเพียงความเศร้าและความรู้สึกผิดที่ยังคงปรากฏลึกๆอยู่ในใจเท่านั้น
            ระหว่างกลับบ้านมีโชคคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาของตน คิดถึงความไม่ดีและพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆที่เคยทำต่อครูอาท คิดถึงคำพูดสุดท้ายของครูอาทก่อนที่จะตีลงโทษตนเอง และคิดถึงกล่องของขวัญชิ้นนั้นที่ครูอาทเคยมอบให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่ได้พบเจอกันอีกเลยตราบวันนั้นจนถึงวันนี้   มีโชคน้ำตาซึมอย่างสำนึกผิดกับเรื่องราวที่ผ่านมา
            “ครูครับผมขอโทษ..สำหรับทุกๆอย่างที่ผมเคยทำไม่ดีกับครู....จากนี้ไปผมสัญญาว่าจะกลับมาเรียนหนังสือ..ผมสัญญา”   มีโชครำพึงกับตนเองด้วยดวงใจที่มุ่งมั่นและมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
.........................................................................................................................................................................
         เวลาผ่านไป 5 ปี มีโชคมุ่งมั่นทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรีดังหวัง  วันนี้มีโชคกลายเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความรู้ สวมชุดครุยปริญญาสง่างาม กำลังยืนอยู่ภายในบ้านหลังเดิม เบื้องหน้าตรงผนังนั่นเป็นรูปภาพใบใหญ่ของแม่ที่กำลังยิ้มให้กับลูกชายมีโชคยืนจ้องรูปภาพนั้นอยู่นานด้วยแววตาหม่นเศร้า
       “ แม่ครับ....วันนี้ผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วนะครับ....” มีโชคพูดกับรูปภาพด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตากำลังจะไหลอาบแก้ม
        “แม่ครับ..ผมขอโทษ.....ผมขอโทษ  ที่เคยทำให้แม่ผิดหวัง..”
         “ ผมเคยบอกว่า..สักวันหนึ่งผมจะเรียนจบ จะทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่ จะทำให้แม่ภูมิใจ”  มีโชครำพึงทั้งน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้น
    “แต่สุดท้าย..แม่ก็ไม่ได้เห็นความสำเร็จของผม....ผมทำให้แม่ภูมิใจไม่ได้.....ผมขอโทษ.....ผมขอโทษ” มีโชคร้องไห้และพร่ำโทษตนเอง พลางค่อยๆทรุดตัวลงนั่งคุกเข้าต่อหน้ารูปแม่ที่ติดตรงฝาผนังนั่น มือของมีโชคปล่อยทิ้งข้างลำตัวอย่างหมดเรี่ยวแรงในมือข้างหนึ่งของมีโชคนั้นถือกล่องของขวัญสีซีดชิ้นเล็กๆ ไว้ ฝากล่องถูกแกะออกนานแล้ว..ในนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งขณะนี้มีโชคได้หยิบมาถือไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง..กระดาษแผ่นนั้นเขียนข้อความจากครูอาทไว้ว่า
         “ชีวิตคนเราสั้นไป..สำหรับคำว่า..สักวันหนึ่ง”
        ตอนนี้มีโชคเข้าใจความหมายของข้อความนี้แล้ว..แต่ก็สายไป สายไปจริงๆสำหรับทุกอย่าง และเขาก็ไม่อาจจะย้อนไปแก้ไขอะไรในอดีตได้อีกแล้ว...มีโชคร่ำไห้เดียวดายภายในบ้าน มือไม้ไร้เรี่ยวแรงใดๆ แผ่นกระดาษสำคัญนั้นพลันหลุดจากมือตกลงพื้นข้างๆตัวมีโชคนั่นเอง..สักครู่กระดาษก็ถูกลมพัดวูบหนึ่ง ปลิวแคว้งออกไป.....
      มีโชคไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...นอกจากความสำนึกผิดภายในใจเท่านั้นที่คอยย้ำเตือนตนเองไปตลอดกาล
.......................................................................(จบ)......................................................................