"เรื่องของเขา...เด็กชายขี้เหงาบนดวงดาว..."
มีเด็กชายคนหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไรอยู่ที่นี่และไม่รุู้ว่ามาได้อย่างไร วันหนึ่งๆเขามักจะอยู่คนเดียวเงียบๆกับความคิดอันสับสนวุ่นวาย....ไม่มีใครคบกับเขาและเขาเองก็ไม่อยากคบกับใครด้วย เรื่องเดียวที่เขาคิดและจำได้ก็คือเขามาจากดาวดวงหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกล...ไกลจนเขาไม่สามารถที่จะกลับไปได้อีกแล้ว..........เด็กชายคนนี้ไม่มีบ้านอยู่....ในช่วงกลางวันเขามักจะหลบผู้คนไปเล่นอยู่กับลูกหมาตัวน้อยที่มีคนเอามาทิ้งไว้ริมคลอง มันเกือบจะอดตายถ้าเด็กชายคนนี้ไม่มาเจอและเอาข้าวให้มันกินซะก่อน
แล้วต่อมาทั้งสองก็สนิทและเป็นเพื่อนกัน....ส่วนกลางคืนเด็กชายคนนี้มักจะเดินไปตามท้องถนนที่ว่างเปล่าผู้คนอย่างเดียวดาย เขาซุกตัวนอนขดอยู่ในมุมตึกอันมืดมิด...อับ...และปลอดผู้คน ทุกๆคืนก่อนนอนเขามักจะนั่งจับเจ่าคุยอยู่กับหนูตัวจ้อยที่ออกมาคุ้ยเขี่ยเศษขยะกินอยู่แถวนั้น เขามักจะคุยสนุกอยู่จนดึกก่อนที่จะหลับใหลผ่านคืนวันอันเงียบเหงาเดียวดายไปอีกวัน...วันต่อวัน....และวันต่อวัน...
ภาคปฐมกาล
ตอน..ผู้มาเยือน...
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดและเงียบสงัดในช่วงฤดูหนาวที่เย็นเยียบมากกว่าทุกๆ
ปีที่ผ่านมา ลึกเข้าไปในหน้าต่างห้องนอนของบ้านหลังหนึ่ง เด็กชายวัย 11 ขวบ นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความหนาวเย็น ถึงแม้ว่าผ้าห่มนวมผืนนั้นจะหนานุ่มมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยคลายความหนาวเย็นให้เขาเลยแม้แต่น้อย
เขาครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยความหนาวจากลมที่โหมพัดไอเย็นเข้ามาในยามค่ำคืนอย่างไม่ขาดระยะ
เขาดึงผ้าห่มกระชับแน่นเข้าห่อตัวเองเหมือนกับดักแด้ที่รอโอกาสผลิตัวออกมาเป็นผีเสื้อแสนสวยในยามเช้า ขณะที่เขากำลังพลิกตัวเพื่อดึงผ้าห่มให้พันกระชับเข้ากับตัวเองอยู่นั้น
สายตาก็เหลือบไปมองเห็นเงาอะไรบางอย่างบริเวณหน้าต่างที่กำลังเปิดอ้าอยู่
เขาขยี้ตาสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดแล้วพยายามจ้องมองดูสิ่งนั้นใหม่ แต่เงาปริศนานั้นไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย
กลับปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก บวกกับแสงจันทร์ข้างขึ้นที่สาดแสงนวลลงมาทำให้ภาพที่เห็นนั้นยิ่งปรากฏชัดแก่สายตาของเด็กชายคนนั้น
ซึ่งตอนนี้กำลังนิ่งอึ้งด้วยความตกใจว่าเงานั้นจะเป็นปีศาจร้ายหรือไม่ก็โจรที่เที่ยวปีนหน้าต่างของชาวบ้านแล้วขโมยทรัพย์สินในยามค่ำคืนขณะเจ้าทรัพย์กำลังหลับใหล
เด็กชายแอบจ้องมองเงานั่นอย่างไม่กระพริบและไม่กล้ากระดุกกระดิกตัวแม้แต่น้อย
ตรงขอบหน้าต่างนั่นเมื่อตอนหัวค่ำก่อนที่จะเข้านอนเขาคิดว่าได้ปิดลงกลอนอย่างแน่นหนาแล้วและห้องนอนนี่ก็อยู่ชั้นที่สองของบ้านอีกด้วย
แต่บัดนี้หน้าต่างกลับเปิดอ้าพร้อมทั้งมีร่างของ....
ตอน..เพื่อนใหม่...
วันหนึ่งขณะที่เด็กชายกำลังนั่งเหม่อมองอยู่ริมคลองพร้อมกับลูกหมาที่เขาเจอมันถูกทิ้งอยู่เดียวดายนั้น
เขาก็พบกับเด็กชายอีกคนหนึ่งนั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่ใต้ต้นไม้ริมคลอง
เด็กชายคนนั้นจึงเข้าไปถามไถ่พูดคุยด้วย จนทั้งสองสนิทสนมและเป็นเพื่อนเล่นกัน
เด็กชายที่มาใหม่เล่าให้ฟังว่าเขาเองก็มาจากดวงดาวอันแสนไกล
ซึ่งเป็นดาวดวงเดียวกับที่เด็กชายคนแรกจากมานั่นเอง เขาไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ
ไม่มีเพื่อน
และคนแรกที่เขาได้รู้จักและเป็นเพื่อนด้วยก็คือเด็กชายขี้เหงานั่นเอง นับตั้งแต่นั้นเด็กชายทั้งสองก็มักจะมาพบพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ลืมความเหงาไปได้หน่อยหนึ่ง
แต่เมื่อย่างเข้าสู่กลางคืนอันมืดมิดทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พักนอนของตน
เด็กชายขี้เหงายังคงเข้าไปซุกตัวนอนอยู่ในซอกตึกตามเดิม
ขณะที่เด็กชายผู้มาใหม่ก็นอนอยู่ในซอกตึกอีกแห่งหนึ่ง ทั้งสองนอนขดโดดเดี่ยว
เดียวดาย เหน็บหนาว อ้างว้าง ไร้คนเหลียวแลเช่นเดิม
พอรุ่งเช้าทั้งสองก็ออกมาเล่นด้วยกันใหม่ ตกค่ำก็แยกย้ายกันกลับที่นอน
เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน....ผ่านไปไม่นานเด็กชายทั้งสองก็ค้นพบว่าเมื่อเป็นเพื่อนกันความเหงาที่เคยเกาะกุมอยู่ในหัวใจนั้นก็พลันลดหายไปได้บ้าง
และแล้วเด็กชายทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนที่เข้าใจหัวอกเดียวกัน
เด็กทั้งสองสัญญากันว่าจะคบหากัน เล่นด้วยกันทุกๆวัน เพื่อให้ลืมความทุกข์
ความเหงาเดียวดาย
เด็กทั้งสองหวังว่ามิตรภาพที่เกิดขึ้นจะมาช่วยเยียวยาจิตใจที่จมอยู่ในความเศร้ามานานให้หมดไปเสียที ดังนั้น เวลาเช้าๆถึงเย็นๆ เราจึงเห็นภาพเด็กชายที่อายุไล่เลี่ยกันสองคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ริมคลองพร้อมๆกับลูกหมาตัวน้อยที่พวกเขาพากันตั้งชื่อให้มันว่า "อิสรภาพ" ทั้งสามยังคงเป็นเพื่อนรักกันและวิ่งเล่นด้วยกันทุกวันโดยไม่สนใจว่าเมื่อวานหรือพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร...ขอให้วันนี้มีความสุขใจก็พอ นับแต่นี้ความเหงาเดียวดายคงจะไม่มีอีกแล้ว...คืนนี้จึงเป็นคืนที่นอนหลับได้อย่างมีความสุขครั้งแรกของเด็กชายขี้เหงาบนดวงดาว...
ตอน..ฤดูร้อนที่แห้งแล้ง
เมื่อฤดูร้อนอีกปีเวียนมาถึง
เด็กชายขี้เหงาและเจ้าลูกหมาตั้งใจจะไปชวนเพื่อนคนนั้นของเขามาวิ่งเล่นด้วยกันอีกเช่นในทุกๆวัน
แต่วันนี้เด็กชายขี้เหงาต้องตกใจเมื่อเพื่อนของเขาตัวสูงใหญ่
มีมัดกล้ามและหนวดเคราเฟิ้ม เด็กชายขี้เหงาเข้าไปถาม เกิดอะไรขึ้น ไหนนายว่าจะไม่โตแล้วไง
? และยังสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปไง ?
เพื่อนของเขาอธิบายให้ฟังว่าเขาจำเป็นจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่
ถึงแม้ว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นจะไม่สนุกเหมือนตอนเป็นเด็กก็ตาม แล้วนายจะไปไหน ? เด็กชายขี้เหงาถามด้วยความกลัวว่าจะเสียเพื่อนคนเดียวของเขาไป
เราจะไปตามทางของเรา ไปตามหาความจริงในชีวิต
สักวันหนึ่งเราคงจะได้พบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิตเรา ส่วนนายถ้าไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วละก็...หวังว่านายคงจะรักษาตัวและอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม ? เพื่อนของเขาพูดด้วยท่าทางจริงจังผิดไปจากเมื่อวานที่ทั้งสองยังคงวิ่งเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เด็กชายขี้เหงาใจสั่นหวิว น้ำตาคลอเบ้า นายอย่าไปได้ไหม อยู่เล่นเป็นเพื่อนกับเราต่อไปได้ไหม
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออ้อนวอน ถ้าเพื่อนของเขาจากไปแล้ว เด็กชายขี้เหงาก็คงจะกลับมาเหงาตามเดิมอีก
ไม่ชอบเลย ฉันไม่อยากเจอความเหงาอ้างว้างอีกแล้ว
เด็กชายขี้เหงานั่งก้มหน้ารำพึงเบาๆ น้ำตาไหลพรากออกมาเป็นสายอาบแก้ม แต่ป่วยการที่จะรั้งไว้
เด็กชายขี้เหงา นั่งมองดูเพื่อนของเขาเดินห่างออกไป ไกลทุกที... ทุกที..
จนลับสายตา
เด็กชายขี้เหงาเอามือช้อนเจ้าอิสรภาพมากอดไว้แน่นร้องไห้โฮ..แกอย่าจากฉันไปอีกนะ..ฉันไม่เหลือใครแล้ว เด็กชายขี้เหงาพูดทั้งน้ำตา เจ้าอิสรภาพครางหงิงๆ
เหมือนกับจะรู้ใจของเด็กชายขี้เหงาในขณะนี้ว่าเศร้าและเจ็บปวดมากเพียงใด บัดนี้สรรพสิ่งรอบด้านเงียบงัน
นับแต่เพื่อนของเขาจากไปทุกอย่างเหมือนกับจะหยุดนิ่ง
คงได้ยินเพียงสียงของจักจั่นแห่งฤดูร้อนที่กรีดเสียงร้องแหลมบาดใจ..เขานั่งสะอื้นอยู่นาน
จนความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมทั่วบริเวณอีกครา เด็กชายขี้เหงาเดินคอตกด้วยความหงอยเหงากลับที่นอนของตน
โดยที่มีเจ้าลูกหมาวิ่งตามมาติดๆ
วันนี้เขาไม่อยากคุยกับใครทั้งสิ้นแม้แต่หนูตัวจ้อยเขาก็ไม่คุยด้วย
เมื่อมาถึงซอกตึกเขาล้มตัวลงนอน จิตใจสับสนว้าวุ่น ร้องไห้สะอื้นอยู่นาน
จนเผลอหลับไปทั้งคราบน้ำตา ส่วนเจ้าลูกหมาก็นอนหมอบนิ่งอยู่ใกล้ๆ
รุ่งเช้าเขาตื่นขึ้นมาเอามือคลำไปทั่วไม่เจอเจ้าลูกหมา
เขาตกใจมากกลัวว่ามันจะหนีเขาไปอีก เด็กชายขี้เหงาเที่ยวตามหาเจ้าลูกหมายังที่ต่างๆ
แต่ไม่เจอ เขากลับมานั่งหมดหวังอยู่ข้างๆ
ถังขยะใกล้ซอกตึกที่นอนของเขาอย่างเดียวดาย
สักพักเขาก็นึกขึ้นได้เขาวิ่งไปยังที่ที่เขาและเพื่อนรวมทั้งเจ้าลูกหมาเคยพากันวิ่งเล่นใต้ต้นไม้ริมคลอง
เมื่อมาถึงเด็กชายขี้เหงาก็เห็นเจ้าหมาน้อยนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งสองจึงวิ่งเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน เด็กชายขี้เหงาหยิบกิ่งไม้เล็กๆ
ขว้างไปแล้วให้เจ้าหมาน้อยวิ่งไปคาบมาให้
แต่เขาขว้างแรงไปหน่อยกิ่งไม้ลอยไปตกอยู่ทางฝั่งโน้นของแม่น้ำ
เจ้าหมาน้อยไม่ทันคิดอะไรจึงกระโดดว่ายน้ำข้ามไปยังฝั่งโน้นของแม่น้ำ
พอข้ามไปได้มันก็หมดแรงที่จะว่ายกลับคืนมา มันนั่งจ้องมองมาที่เด็กชายขี้เหงา
เด็กชายขี้เหงาพยายามเรียกให้มันว่ายกลับมาแต่ไม่สำเร็จเจ้าลูกหมาไม่กล้าข้ามมา
ส่วนเขาก็ว่ายน้ำไม่เป็นจึงไม่สามารถที่จะว่ายออกไปช่วยเจ้าลูกหมาได้
เขานั่งรออยู่จนเย็นเจ้าลูกหมาก็ไม่ยอมกลับมาหาเขา คงหมดหวังแล้ว
ต่อไปนี้เด็กชายขี้เหงาคงต้องอยู่คนเดียวเหมือนแต่ก่อน โลกทั้งโลกหมุนคว้าง
เขาเดินกลับที่นอนอย่างเดียวดาย..
ตอน..อิสระภาพที่ค้นหา
หลังจากเพื่อนคนเดียวของเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว
เด็กชายขี้เหงายังคงวิ่งเล่นอยู่ที่ริมแม่น้ำตามเดิม
แต่ไม่มีเจ้าลูกหมาตัวนั้นอีกแล้วเพราะมันข้ามไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแล้วว่ายกลับมาไม่ได้
เด็กชายขี้เหงาพยายามเรียกให้มันกลับมาหา มาวิ่งเล่นด้วยกันอีก
แต่มันก็ไม่กล้าข้ามมาเพราะกลัวกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
สุดท้ายเจ้าลูกหมาน้อยของเขาก็เดินหายลับไปในอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำนั่นเอง ในทุกๆวันเด็กชายขี้เหงามักจะมานั่งเหม่อมองหาและคอยเจ้าลูกหมาของเขาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง
ซึ่งเป็นที่ที่เขามาเป็นประจำ
วันนี้ก็เช่นเดียวกับวันก่อนๆ
เด็กชายขี้เหงานั่งจับเจ่าอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น สายตาเหม่อมองไปที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำในใจหวังให้เจ้าลูกหมากลับมาหาเขา
แต่ก็ผิดหวัง เด็กชายขี้เหงานั่งอยู่นานจนคิดว่าเจ้าลูกหมาคงลืมและไม่กลับมาหาเขาอีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นไปวิ่งเล่นอยู่คนเดียว เขาวิ่งเลียบตามริมคลองและไกลออกไปจากต้นไม้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่นี้ เขาวิ่งมาไกลจนเหนื่อย จึงหยุดพัก
เขาเหลียวกลับไปมองต้นไม้ต้นนั้นซึ่งบัดนี้เขามองไม่เห็นอีกแล้วเพราะมันอยู่ไกลมากนั่นเอง
แต่ทางข้างหน้าเขาตอนนี้กลับเป็นทางที่เต็มไปด้วยกรวดและก้อนหินมากมายทั้งยังลาดชัน เด็กชายขี้เหงาพยายามเดินขึ้นไปเพื่อให้ถึงถนนเรียบๆ
ที่อยู่ด้านบนแม้ว่าเท้าเขาจะเจ็บและระบมก็ตาม เด็กชายขี้เหงาตะเกียกตะกายขึ้นไป
มือก็เหนี่ยวกิ่งไม้ใบหญ้าแถวนั้นเพื่อพยุงตัวเองขึ้นไปให้ได้ ด้วยความอ่อนล้า
เมื่อใกล้จะถึงทางข้างบนอยู่แล้ว เด็กชายขี้เหงารวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้าย
เหนี่ยวต้นหญ้ากอหนึ่งไว้ แต่อนิจจา
ต้นหญ้าต้นนั้นกลับหลุดขาดออกมาทำให้เด็กชายขี้เหงาเสียการทรงตัว ด้วยความที่เขาเป็นเด็กตัวเล็ก
เขาจึงหงายหลังกลิ้งลงมากระทบกระแทกหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ และกลิ้งไปอีกหลายตลบจนร่างของเขาไปนอนสงบแน่นิ่งอยู่ข้างกอหญ้ารกทึบที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้น
ตามเนื้อตัวของเขาถลอกปอกเปิก มีเลือดออกเป็นแห่งๆ ที่หน้าผากและมุมปากก็มีเลือดออกด้วย
เขายังคงสลบอยู่ตรงนั้นแม้ว่าแสงแดดตอนบ่ายแก่ๆจะร้อนแรงแค่ไหนก็ตาม
ส่วนทางข้างบนก็ยังมีคนสัญจรไปมาอยู่เป็นระยะ
แต่จะมีใครรู้บ้างว่าข้างล่างตรงกอหญ้าหนาทึบนั่น
มีร่างของเด็กตัวเล็กคนหนึ่งที่บาดเจ็บหนัก นอนสลบอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานจนราตรีเหยียบย่างเข้ามาตามวาระ ทั่วบริเวณมืดสนิท
ไร้เสียงแมลงกรีดร้องอย่างเคย บัดนี้คงมีเพียงความมืดและความเงียบสงัดของค่ำคืนเท่านั้นที่ยังคอยเป็นเพื่อนอยู่กับเขา
ด้วยอากาศที่หนาวเย็นช่วยปลุกให้เขาได้สติขึ้นมา
แต่เขาก็ยังคงไม่มีแรงพอที่จะลุกขึ้น เด็กชายขี้เหงาขยับเปลือกตาลืมขึ้นมองดูรอบๆ
ทุกทิศมีแต่ความมืดมิด เขาอยากจะลุกขึ้นไปนอนที่มุมซอกตึกอันอบอุ่นเหมือนวันก่อนๆ
แต่ก็ลุกไม่ได้ เขายังคงนอนหมดแรง ท้องร้องด้วยความหิวโหย
สายตาฉายแววอ่อนล้าเต็มที เขาหนาว ริมฝีปากเริ่มซีดเซียวอากาศยังคงเย็นลงเรื่อยๆ
เขานอนคุดคู้ สั่นระริก ความหนาวเหน็บเกาะกินจับขั้วหัวใจเขา เสื้อผ้าขาดๆ
ตัวเก่าที่ใส่อยู่ไม่สามารถทำให้อุ่นขึ้นมาได้เลย
สายตาของเด็กชายขี้เหงาเริ่มพร่ามัวขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับความคิดเก่าๆ
ก็ไหลพรั่งพรูออกมา เขาอยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ดาวดวงโน้น
อยากกลับไปอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น มีเพื่อนที่คอยเป็นห่วงและเข้าอกเข้าใจกัน
แต่เขาก็ไปไม่ได้ ไม่มีทางไปได้เลย น้ำตาที่กลั่นมาจากห้วงลึกในใจอันเศร้าระทมของเด็กชายตัวเล็กๆ
เริ่มไหลพรากอาบแก้ม เด็กชายขี้เหงานอนขดตัวหนาวสั่น สะอื้นไห้อยู่เดียวดาย
ความเจ็บปวดทวีคูณจากบาดแผลกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง สายตาที่เผยอพร่ามั่วเมื่อครู่บัดนี้หุบปิดสนิท ลมหายใจที่อ่อนระทวยก็หยุดสงบนิ่ง พร้อมๆกับวิญญาณดวงน้อยที่หลุดออกจากร่างล่องลอยไปในที่ที่ไกลแสนไกลและสลายหายไปกับห้วงจักรวาลอันมืดมิดกว้างใหญ่ไพศาล
คงทิ้งไว้เพียงซากร่างอันไร้ค่า ไร้คนเหลียวแล ไร้คนนึกถึง ไม่มีความหมายใดๆ
กับใครทั้งสิ้น นอนแน่นิ่งอยู่ในพงหญ้ากับราตรีอันโดดเดี่ยวเดียวดาย
รอวันเน่าสลายไปตามกาลเวลาเท่านั้นเอง.........
( อวสาน )