วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เทพอพอลโลปกรณำคำฉันท์







                                                                   "  เทพอพอลโลปกรณำคำฉันท์  "







สัททุลวิกกีฬิต ฉันท์ 19

                   ขอน้อมกราบศิระกรานพระไตรรตนศรี
            เลิศแล้ว ณ ธาตรี                          พิภพ
                   อีกอาจารย์กวิบูรพ์ก็ทูนกรประนบ
            ทรงคุณมิรู้จบ                               ประมาณ
                   ไหว้องค์ผู้พระคเณศวิเศษวิทยะชาญ
            คามภีรไพศาล                              ประพันธ์
                   ภาคนี้จักรจนานิทานกริกฉันท์
            มานจิตตะรังสรรค์                          บำเทิง


ฉบัง 16

              พระอพอลโลดำเกิง                หนุ่มแน่นแรงเริง
      หล่อเหลารูปโฉมโลมใจ
              ท้าวเธอท่องเที่ยวเดี่ยวไป        ทั่วถิ่นใกล้ไกล  
      เพื่อจะบันเทิงเริงรมย์
              ยลธรรมชาติสุขสม                 เพลินจิตปรารมภ์
      ลุแคว้นแดนเธสสะลี
              ดนูแสนสุขเปรมปรีดิ์               เห็นมหาธานี
      งดงามเวียงวังดังสวรรค์
              ผู้คนมากมายกรายกัน             ประดับแพรพรรณ      
      หลากด้วยเพชรนิลจินดา
              ผิวเนื้อผุดผ่องทองทา             แย้มยิ้มหน้าตา
      ก็ล้วนยวนใจให้ชม
              เธอเที่ยวสำราญอารมณ์          เมืองใหญ่อุดม
      ถั่นล่วงยามได้หลายวัน
              ก็พบนงคราญในฝัน               ผูกใจรักกัน
      กับนางชื่อโครอนนิส
              พระองค์หลงรักปักจิต             ย่ามใจไป่คิด
      ว่าจะซื่อตรงคงวา
              ทั้งสองครองคู่กันมา              ไม่นานนักหนา
      นางท้องครรภ์ได้เจ็ดเดือน
              ไพธุสผู้ไม่แชเชือน                กาเหว่าคอยเตือน   
      หากนางคบชู้สู่ชาย
               วันหนึ่งกาเหว่าผันผาย           บินไปบอกนาย
      ว่าโครอนนิสปันใจ
               องค์เทพโกรธเป็นฟืนไฟ        โครอนนิสใย
      มิซื่อมิตรงต่อกัน
               พระองค์ยั้งใจไม่ทัน              จึงสาปนกพลัน
      ให้มีสีดำทั้งตัว
               ส่วนนางผู้จิตหมองมัว            หลบเร้นเพราะกลัว      
       สามีลงโทษโดยแรง
               หากแต่องค์เทพก็แผลง         ศรศักดิ์สำแดง
       ปักต้องทรวงตายวายวาง   



อุปัฏฐิตา  ฉันท์ 11   

               ถึงคราว ธ ประกอบ         พลิมอบพระเพลิงนาง        

        เผาไหม้อสุภางค์                   ละลุลามกะกองฟอน

               องค์เทวะระลึก               พินิจ์นึกก็อาวรณ์        

        ช่วยบุตร ณ อุทร                   จรพ้นพระเพลิงกาฬ

               มอบแด่อมนุษย์             วรยุทธกระหึ่มหาญ

        ไครอนอภิบาล                      และก็สอนกุมารา

               เซนทอร์ก็ประศาสน์        บ่มิขาดสุศึกษา

         เจนจบพระวิชา                    คุรุถ้วนกระบวนความ

               เอสคิวเละปิอัส              ระบุชัดระบือนาม

         เก่งกาจนุเคราะห์ยาม            ชนป่วยก็เยียวยา

               เจ็บหนักก็ประเทา          บ่ทุเลามิมีหนา

        หายโรคประดา                     นรชื่นนิยมชม



ภุชงคประยาต ฉันท์ 12           

               กระเดื่องดังกระฉ่อนชื่อ       กระพัดพือสนั่นสม

         ละลอยล่องละลิ่วลม                 กระจายทั่วมิช้านาน

               มหาเทพสดับชัด               ก็เอื้อนอรรถแถลงสาร   

         ประชุมคิดคะนึงการ                  กะฮาเดสพระน้องยา

               ผิว่าเราจะปล่อยให้             ปวัตติ์ไปลุเวลา

         มนุษย์นี้สิไม่มา                        ประกอบซึ่งพลีกรรม์

               เพราะมีคนจะช่วยเหลือ         และจิตเจือมโนธรรม์
         ปลอดโรคมลายพลัน                ก็ยิ่งซ้องคุณาไป

               เถอะปวงเทพจะหมดค่า      บ่มีสาระอันใด 

         แหละเหตุนี้จะแก้ไข                 อนุชช่วยเฉลยที



อินทรวิเชียร ฉันท์ 11       

               ฮาเดสก็กล่าวตอบ              วจชอบพระภูมี

         เสนอให้ประหารชี-                    วิตจบคดีหาย

               เอสคิวเละปีอัส                   ผิขจัดสะดวกดาย

         ขอองค์พระทรงสาย                   อสนีพิฆาตเทอญ

               เทพซูสก็เห็นงาม                กลตามอนุชเชิญ

         ยืนเล็ง ณ ยอดเนิน                    ครวีพระแสงพล

               ปั่นป่วนนภากาศ                 นฤนาทสุธาดล

         แตกตื่นประดาคน                      จรซ่อนประหวั่นใจ

               บัดเดี๋ยว ธ ง้างชี้                 อสนีและฟาดไป

         วาบวาบกระแสไฟ                     ก็ละลิ่วทะยานมา

               เปรี้ยงปร้างอธึกก้อง             วิชุต้องพระนัดดา 

         มอดม้วยละชีวา                        ประลุแผนมโนรมย์
       


ฉบัง 16


               เทพอพอลโลช้ำตรม               ทราบข่าวขื่นขม

         เศร้าโศกกำสรดเสียใจ  

               คิดถึงบุตรที่ตายไป                 เขาผิดอะไร

         จอมเทพบ่ควรสังหาร

               พลันคิดแก้แค้นภูบาล              เซ่นดวงวิญญาณ

         ให้บุตรที่รักของตน

               แต่แรงเทพซูสเกินทน              มิอาจรบรณ

         จำต้องพินิจคิดการณ์

               พระอพอลโลจำราญ                พวกผู้สนองงาน

          แทนท้าวผู้เทพบิดร

               คิดได้ดังนี้ก็จร                        ถึงเขตสิงขร

          เขาโอลิมปัสบัดดล

               จะฆ่าไซคลอปส์พิกล               ให้ตายหมายผล

          ดับดิ้นด้วยศรศาสตรา

               อีกฮีฟิสทัสเทวา                     จงม้วยมรณา

          ตายตกลงไปตามกัน

               พระองค์จึงน้าวศรพลัน              เล็งที่เทวัน

          เทพช่างผู้สร้างอัสนี

               ด้วยศรเทพพระสุรีย์                  มากมวลฤทธี

          ก็ลิ่วทะยานโดยแรง

               อากาศกึกก้องสำแดง               วูบวาบปลาบแสง 

          อันเกิดจากฤทธิ์ศรพล

               เทพซูสออกมาเยี่ยมยล             เห็นเหตุชอบกล

          เกรงว่าจะเกิดอันตราย

               จำต้องป้องกันบังวาย               คิดแล้วฤๅสาย

          บันดาลปัดศรพ้นไป

               สองเทพอยู่รอดปลอดภัย          ดวงจิตผ่องใส

          ยอคุณพระช่วยชีวา

               ท้าวเรียกอพอลโลมา                มีพระบัญชา

          โทษเจ้าจำต้องลงทัณฑ์

               ทรงขับพระสุรีย์พลัน                 จงตกจากสวรรค์  

          ไปใช้แรงงานหนึ่งปี

               เนาอยู่ในถิ่นธานี                      เสริมสร้างความดี

          ช่วยเหลือผู้คนสปาตัน



วสันตดิลก ฉันท์ 14


              ภาคพื้นก็งามวิวิธหลาก          ศิละมากนะเนื่องกัน 

         ก่อสร้างสถานปุชิตยัญ                พลิเพื่อสุเทวา 

              ลือนามสิปรากฎประเทศ         นคเรศสปาตา

         ตั้งอยู่ ณ กลางพระสิขรา             พิศสูงและล้อมเมือง

              บ้านช่องและห้องนิกรมี          ตะละที่ก็แน่นเนือง

         บางแห่งก็สร้างบุระประเทือง        ดำริเพิ่มนครตน

             ผู้หญิงก็เฝ้าปศุและฟาร์ม        ธุระคามอนงค์ยล

         ฝ่ายว่าประดาปุรุษชน                 สหล้วนทหารหาญ           
   
      
อินทวงศ์   ฉันท์ 12

             องค์เทพอพอลโล            ธ มโนบ่สุขสราญ  

       เศร้าโศกกะวันวาร                  อสุชลละหลั่งละไหล             

             แต่มานะแห่งตน              ทมะทนก็ข่มพระทัย

       อดกลั้น ณ ดวงใจ                  กลชื่นบ่ขื่นบ่ขม

             ช่วยเหลือประชากร          ระอุร้อนก็สร่างระทม

       แสนสุขสนุกสม                     ทิวล่วงมิมากประมาณ            


อินทรวิเชียร ฉันท์ 11

            ท่านพบประสบพักตร์         ศุภลักษณ์กุมารชาญ      

      โอรสพระภูบาล                      มหราชสปาตา

            จิตหวั่นกระสันเกิด            มนเพริดคะนึงครา

       มองหนุ่มสุโสภา                    ฉวิผ่องประไพพรรณ

            งามหน้าและงามเกศ         พิศเนตรก็งามครัน

       หล่อเลิศประเสริฐสรรค์            ธ ตะลึงชม้ายแล           

            ป่วนจิตและคิดหนัก           ก็เพราะรัก ณ ดวงแด

       เหตุใดไฉนแน่                      ดนุจักสมัครปอง

            ความรักนะความรัก           บ่ตระหนักกะครรลอง

       ยามเกิดกะเราผอง                 ก็ทุรนทุรายใจ

            เมื่อแรกประทับจิต            บ่มิคิดอะไรใด

       ยิ้มชื่นระรื่นไป                      สุขล้นฤดีปรีดิ์
  

สาลินี ฉันท์ 11

                  ไพธุสรักผูกพัน             ก็เฝ้าฝันจะพาที

           พบกันแสนยินดี                   กะเจ้าชายสปาตา 

                  วันไหนไม่ได้เจอ           ฤทัยเธอก็โศกา    

          ดังเดือนจรลับลา                   กมลหมองมิเว้นวาย

                 โอ้หนอเจ้าชายน้อย        ดนูคอยจะเคียงกาย

         รักจริงไม่เสื่อมคลาย               มิคิดทอดและทิ้งกัน

                 รู้ไหมฉันรักเธอ             ณ แรกเจอก็ใฝ่ฝัน

         รักมากรักทุกวัน                     ประจักษ์จริงวจีเรา

                 อยากเห็นแต่หน้าเธอ      นิทรเพ้อบ่บรรเทา

         ขอองค์เจ้าชายเยา-                วราชรับและรักเทอญ

                 เวลานั้นเจ้าชาย             ก็ผันผายเสด็จเดิน

         ถึงสวนแสนเพลิดเพลิน            ระเมียรเมิลผกาไป   

                ไพธุสจึงเข้าถาม             อนุชงามนะชื่อไร

        จงแจ้งกับเราไซร้                    พจีตอบคำถามพลัน

                เจ้าชายเห็นไพธุส           ฤดีสุดเกษมสันต์

       ก่อเกิดความรักกัน                    ณ ดวงใจทวีคูณ

                แล้วองค์เจ้าชายน้อย       ก็ตอบถ้อยพระนามมูล
       เอื้อนเอ่ยวาจาทูล                    อพอลโล ธ ถามมา  
             


สัทธราปฏิวัติ ฉันท์ 24


               อันตัวเรานั้นนะเชษฐา          ปิตรตนุปทาน์            

       ไฮยาซินทัสประดับกา-                 ยชื่อนี้

               แล้วว่าตัวท่านละนามมี         ผิวสกุลก็ดี

       ขอจงเผยบอกยุบลที                   สมัญขาน             

               องค์เทพได้ฟังก็บรรหาร       วรพจนกุมาร

       จึงบอกชื่อไปแถลงทาน               กนิษฐ์ฟัง


 สาลินี ฉันท์ 11

               อันว่าตัวเรานี้                    นะนามมีอุโฆษดัง

        บอกกล่าวด้วยใจหวัง                 อนุชน้องมิตัดรอน

               ชื่อเสียงนั้นมากโข             อพอลโลปภังกร

        เดินล่องท่องเที่ยวจร                 ก็ได้พบกะองค์ชาย   

               แรกเจอตกหลุมรัก             ณ ดวงพักตร์ละมุนฉาย

        ยามยลทั่วเรือนกาย                  ก็ยิ่งหลงคะนึงปอง

               ยิ้มหวานยั่วยวนชวน           ฤดีป่วนบ่ไตร่ตรอง

        อยากได้เป็นคู่ครอง                  สมัครรักสมานฉันท์

               รับรักด้วยเถิดหนา             จะสัญญามิทิ้งกัน

        ดูแลทุกวี่วัน                            ถนอมแนบบ่ห่างไกล  

               ขอน้องจงเชื่อพี่                วจีนี้สนิทใจ
        ตอบรักพี่ได้ไหม                      เถอะขอร้องนะน้องชาย
      

 วิชชุมมาลา  ฉันท์ 8

               ไฮยาซินทัส                    ไม่ขัดเขินอาย
        กล่าวดังมุ่งหมาย                     ตามจิตของตน
               ด้วยรักแรกพบ                  บรรจบส่งผล   
        สองใจสองคน                         ก่อเกี่ยวผูกพัน
                                       
อีทิสัง ฉันท์ 20
               
               น้องก็รักและหวังจะรักฉะนั้น   
        บ่คิดจะหน่ายจะแหน่งละกัน           ฤจืดจาง
               ฟังวจีอนุชบ่คิดระคาง        
        อนึ่งก็แน่และมั่น ณ กลาง              ฤดีตน
               เมื่อริว่าจะรักสมัครกมล
        ก็อยากภิรมย์และหวังปะผล           กะรักจริง
               ตามวิถีชไมบ่ทอดบ่ทิ้ง
       ประคับประคองหทัยลุยิ่ง                นิรันดร


ฉบัง 16

                          สองใจรักไม่แคลนคลอน     โอบเอื้ออาทร             

       ทุกวันพูนรักมากมาย  

             ต่างมั่นว่าไม่หนีหาย            จะอยู่เคียงกาย                  

       ดูแลปกป้องกันไป      

             เทพหนุ่มความรักสดใส        ชุ่มชื่นหัวใจ

       ด้วยรักสมหวังดังปอง

             นับวันความรักทั้งสอง          สัมพันธ์ปรองดอง

       แนบแน่นกว่าเช่นเป็นมา

             สององค์สุขทุกเวลา            เดินเคียงกายา

       กุมกรหยอกเย้ายวนยี

             ไพธุสสุดแสนยินดี              ต่อไปคงมี

      ความรักสดชื่นรื่นรมย์       

             ลาขาดจากความขื่นขม        พบคู่เชยชม

      ชูใจให้มีกำลัง   

             ความรักอันไม่ปิดบัง            คนรู้ทั่ววัง

     ต่างล้วนกล่าวชมสมกัน

             เวลาเปลี่ยนเวียนผ่านผัน      แต่สายสัมพันธ์

     ความรักไม่เปลี่ยนตามกาล

             ยังคงแช่มชื่นเบิกบาน           ครองคู่กันนาน

     ด้วยใจรักมั่นไม่คลาย

             กล่าวถึงหนึ่งเทพเดียวดาย    ประจำพระพาย

     แห่งทิศประจิมเขตแดน

             กำลังเจ็บปวดเหลือแสน       ดั่งผึ้งต่อแตน

     ทิ่มตำต่อยกลางหทัย

             ด้วยว่าท้าวเธอมีใจ              มอบรักส่งไป

     แก่องค์เจ้าชายเช่นกัน

             ความรักกลายเป็นโศกศัลย์    เจ้าชายบ่หัน

     บ่เหลียวเกี่ยวข้องพูดจา     

             เทพเซฟไฟรัสโศกา             เจ็บช้ำอุรา

     กำสรดหม่นหมองชีวี

            เห็นเขาเคียงคู่สุขี                 รักใคร่กันดี

     ตนเองกลับยิ่งระทม   

           ยิ่งคิดก็ยิ่งตรอมตรม               มีทุกข์ทับถม

     รักไปเหตุใดจึงชัง
              แม้นรักข้าต้องภินท์พัง         พวกเจ้าอย่าหวัง
     ว่ามีความสุขอีกเลย
              แต่นี้จะไม่อยู่เฉย                 หรือนิ่งอย่างเคย
      เจ้าต้องโศกเศร้าพันทวี
              เทพเซฟไฟรัสผู้มี                ดวงกมลโศกี
      รักกลายเป็นแค้นเดือดดาล
     

มาณวก ฉันท์ 8

            เมื่อสุริยน                พ้นรัติกาล
      แสงรวิฉาน                    โลมปฐพี
            มวลทิชชาติ             ราชสกุณี
      ร้องเสนาะดี                   รับสุริยัน
            เหล่าบุษบง             ส่งสุวคันธ์
      ชวนหฤหรรษ์                 ชื่นหฤทัย
            สองวรองค์              ลงครรไล
      มุ่งจรไป                        ชมอุทยาน
            กุมกรเดิน                เพลินจิตบาน
      สุขสราญ                       แสนอภิรมย์
            เด็ดบุษบา               มาพิศชม
      จุมพิตดม                      รื่น ณ ฤดี      

 อินทรวิเชียร ฉันท์ 11

             ไพธุส ธ ชวนน้อง             ผิวปองจะเปรมปรีดิ์
      เราควรประลองดี                     อยจักระขว้างไกล
              เจ้าชายก็เออออ              พลพอจะแข่งไหว
      จึงเล่นประเลงไป                     กลตามสุขารมย์
              ไพธุส ธ ขว้างก่อน           อยะร่อนละลิ่วลม
       ไกลลิบวิเศษสม                      สิตะรื่นสำรวลพลัน
               ถึงคราวพระองค์ชาย       พลกายก็มากครัน
        หยิบจักรอโยนั้น                    ขิปะขว้าง ณ บัดดล     
               จักรเหล็กทะยานพุ่ง        จรมุ่งละล่องหน
        ตกห่างและไกลพ้น                ก็ระริกสำราญใจ
               องค์เทพ ธ ตรัสว่า           อนุชาบ่แพ้ใคร
        เก่งจริงมิสงสัย                       พลมากสิเกินเรา
               เจ้าชายสดับแล้ว            จิตแผ้วมิมัวเมา
        พี่ท่านกะพูดเย้า                     อนุชากระมังหนอ
               ไพธุสสิเหน่หา                วจนาก็อ่อนงอ
        เพื่อให้อนุชพอ                       หฤทัยก็ยินดี       



ฉบัง 16


                สององค์กำลังสุขี                     เล่นขว้างจักรนี้

      แข่งกันขว้างส่งเรื่อยไป

                ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส                 สุขท่วมหัวใจ

      เมื่ออยู่กับคู่ของตน

                แสนสุขคลายทุกข์กังวล           ความเหงาผ่านพ้น

     ยามอยู่เคียงคู่กันมา

                แต่แล้วมีเหตุเวรา                    เพราะความอิจฉา

     จากเทพประจิมสายลม

                ผ่านมาพบภาพขื่นขม               สององค์สุขสม

     ขว้างจักรสรวลเสเฮฮา

                 จึงเกิดความกริ้วโกรธา            แค้นในอุรา

     จำต้องชำระสะสาง

                 คิดแล้วจึงแอบดูพลาง             ไม่ให้ระคาง

     ระแคะระคายผู้ใด

                ซุ่มรอจังหวะเป็นใจ                  จะแก้แค้นให้

     สาสมกับแค้นบาดหมาง

                เมื่อไฮยาซินฯได้วาง                 จักรเหล็กลงพลาง

     ยืนดูไพธุสสำแดง

                 หยิบจักรขว้างออกโดยแรง       ด้วยพลังกำแหง

     จักรปลิวออกไปทันที

                 เซเฟอร์รู้สึกเปรมปรีดิ์               เห็นว่าเหมาะดี

     จึงแกล้งเป่าลมออกไป

                 อันว่าจักรเหล็กนั้นไซร้            จึงพุ่งโดยไว

     หวนคืนกลับมาหาคน

                จักรเหล็กทะยานเวหน              มุ่งเป้าหมายผล

     มาที่ตัวไฮยาซินฯ

                จักรเร็วดั่งติดปีกบิน                  แข็งกล้ากว่าหิน

     สุดที่จะหลบหลีกทัน

                เกิดการณ์อันไม่คาดฝัน             ชวนตะลึงงัน   

     หมดทางที่จะแก้ไข

                โอ้ไฮยาซินฯดวงใจ                  ต้องเหตุเภทภัย

     ถูกจักรกระแทกอย่างแรง

                ทรุดฮวบเลือดโลมหลั่งแดง       ชีวิตอับแสง

     สิ้นลมชีวาวายปราณ

                ไพธุสอยู่ในเหตุการณ์               รีบเข้าพยาบาล

     แต่สุดหมดสิ้นหนทาง

                 ไฮยาซินฯตายวายวาง              ท่านกอดศพพลาง

     พิไรโศกเศร้ารำพัน

                 โธ่ยอดดวงใจของฉัน               เธอคือชีวัน

     ใยมาจำพรากจากลา

                      ไพธุสสุดแสนโศกา                พักตร์นองน้ำตา
     ฟูมฟายอนาถเหลือทน



อุปชาติ ฉันท์ 11


                           เพราะพี่สิต้นเหตุ                 ทุรเภทมิแยงยล

      ก่อกรรมะส่งผล                                กะพระน้องเสน่หา

               ตอนนี้พระพี่ครวญ                   อุระป่วนประดังมา

      มิดับระงับอา-                                   ลยโศกวิโยคหลาย   
               ประดุจหทัยแหลก                   กลแยกจะดักตาย

      พี่รักและเสียดาย                              ดนุน้อยปิโยดม

               เคยร่วมสราญสุข                     นิรทุกข์บ่ขื่นขม

      ประสบสุขารมย์                                รติรื่นฤดีดล

              พระทูลกระหม่อมแก้ว               จรแล้วมลายชนม์

      อกพี่สิหมองมล                               จะกระทำไฉนดี

              ตั้งแต่จะแลหาย                       ก็เพราะตายประสบมี

      จะทุกข์บ่สุขี                                     มนเปลี่ยวพระวิญญาณ์

              ธ ครวญพิไรร้อง                       และตระกองอนุชมา

      มองดูพระพักตรา                              อสุชลละหลั่งไหล

              ชาตินี้บ่สมถวิล                         ก็มิสิ้นจะรักใหม่

      ผิเกิด ณ ชาติใด                               ปฏิพัทธ์ดนูเดียว

              จะให้คำสัญญา                         พจนามิปดเทียว

      ทุกชาติจะขอเกี่ยว                            ดนุรักนิรันดร

              องค์เทพ ธ คิดการณ์                 จะประทานพิพิธพร

      ดำรงสถาวร                                      ฐิตอยู่ ณ โลกา

              ธ จึงประสิทธิ์อวย                      สิริสวยจะพึงตา

      ให้เลือดอนุชหนา                              ปฏิสนธิ์กำเนิดพรรณ

              เป็นไม้สุมามาลย์                      และตระการ ณ สีสัน

       สถาปนาพลัน                                  ทุมนั้นก็เติบโต             

              รุจีผกาแดง                              กลแสงสุรีโย

       งามยิ่งลดาโฉ-                                มวิไลตะลึงลาน

              งอกงามและสืบต่อ                   ผลิช่อมหาศาล  

       ประดับสุธาธาร                                ดุจเทพนิมิตแล

                                        

 ฉบัง 16

                          ดอกไม้มีสีแดงแจ๋                  เพราะเกิดมาแต่

     จากหยาดเลือดไฮยาซินฯ

                   ที่ไหลโลมลงพื้นดิน               เป็นดอกไม้สิ้น

     ตามคำขององค์เทวา

                    หากแต่พอถูกน้ำตา               แห่งพระภาดา

     ดอกไม้กลับเปลี่ยนสีพลัน

                    กลายเป็นสีม่วงครามครัน       ด้วยความอัศจรรย์

     เป็นพยานแห่งรักมั่นคง

                   ดอกไม้นั้นงอกยืนยง               แผ่ขยายเผ่าพงศ์

     ยืนยาวมาถึงปัจจุบัน

                   อันชื่อของดอกไม้นั้น              เรารู้ทั่วกัน

     ไฮยาซินทัสนั่นไง

                   ขอจบเรื่องราวรักใคร่              สองคนผูกใจ

      แต่มิสมหวังดังปอง

                   ตัวผู้ประพันธ์นั้นลอง               แต่งโดยไตร่ตรอง

      ถูกบ้างผิดบ้างขอสมา    

.......................................