วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2565

อภินิหารแห่งโคปุระ


 

       
              

                                           เจอคู่ควงคนใหม่ได้เชยชื่น                เธอเป็นอื่นเลิกลามาผลักไส

                             ทิ้งให้เราหนาวเหน็บเจ็บทรวงใน                      เศร้าอาลัยขื่นขมตรมน้ำตา

                                            จากดวงใจรักใจในวันนี้                      จากใจที่ผิดหวังอย่างสมสา

                             จากใจที่ปวดร้าวเศร้าดวงมาน์                          จำใจลาข่มใจรักไกลกัน


               1.                         

 

                   ม้าหินอ่อนใต้ร่มหูกวางใบหนาหน้าบ้านอาจเป็นที่ที่เพื่อนทั้งสามมักจะมานั่งเล่นพูดคุยกันอยู่เสมอ 

                    "นี่  ปิดเทอมแล้วอาทิตย์หน้าพวกเราจะไปเที่ยวไหนกันดี" สิทธิ์เอ่ยถามเพื่อน 

                    "จะไปเที่ยวไหนดีล่ะ ไปแถว ๆ เชียงใหม่ เชียงราย ดีไหม" ยุริเสนอพลางหยิบฝรั่งผ่าชิ้นจิ้ม

พริกเกลือส่งเข้าปากเคี้ยวกรุบ ๆ

                    "ไม่ดีหรอก ไกลจะตายไป เปลืองเงินเยอะด้วยนะ" อาจแย้งขึ้นบ้าง

                    "แล้วนายว่าที่ไหนเหมาะสุด"

                    "ก็เป็นแถว ๆ จังหวัดเราก็ได้ ไม่เห็นจะต้องไปเที่ยวที่ไหนไกล ๆ เลย"

                    "จังหวัดเรา .. ที่ไหน" ยุริถามด้วยความสงสัย

                    "อ้าว  จังหวัดเรามีที่เที่ยวถมเถไป นายไม่รู้หรือไงล่ะ" อาจพูดอย่างมีเชิง

                    " อ่ะ ๆ นายบอกมาเลยดีกว่า ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ที่นายบอกว่าในจังหวัดเราก็มีน่ะ" ยุริพูดขึ้น

ด้วยรำคาญเต็มที

                    "ก็ที่เขาพระวิหารไง น่าไปเที่ยวดีออก" อาจเสนอ มือหนึ่งก็หยิบฝรั่งบนจานกินไปพลาง

                    "เขาพระวิหารหรอ อึม น่าสนดีนะ" สิทธิ์พูดเสริม

                   "งั้น อาทิตย์หน้าพวกเราไปเที่ยวเขาพระวิหารกัน ตกลงตามนี้นะ" อาจสรุป

                   "เอ้าตกลงตามนี้ อาจนายมีรถคันใหญ่ เอารถนายไปได้ไหม สักอาทิตย์หนึ่ง" สิทธิ์หันมาถามอาจ

                  "ได้ เดี๋ยวเราพูดเรื่องรถกับทางบ้านเอง ส่วนพวกนายไปเตรียมตัวดี ๆ ล่ะ อาทิตย์หน้ามาพร้อมกันที่ม้าหินหน้าบ้านเรานะ"

                   "ตกลง"

                   "งั้นวันนี้เรากลับบ้านก่อนนะ จวนเย็นแล้ว เดี๋ยวเจอกันเพื่อน" สิทธิ์หันไปพูดกับอาจ

                   "โชคดีเพื่อน" ยุริก็ขอตัวกลับบ้านเช่นกันเพราะทางเดียวกันกับบ้านของสิทธิ์นั่นเอง

                  ระหว่างทางกลับบ้านสิทธิ์กับยุริพูดคุยกันตลอดทางโดยเฉพาะเรื่องที่ตัดสินใจจะพากับไป

เที่ยวเขาพระวิหารอาทิตย์หน้า

                    "ยุริ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันนัดแล้ว นายตื่นเต้นไหมที่พวกเราสามคนเพื่อนจะได้ไปเที่ยวกัน"

                    "เฮ้อ ! " ยุริถอนใจ  "เราก็ดีใจอยากไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ นะ แต่ว่าแม่เราจะให้ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้

 ตั้ง 1 อาทิตย์แน่ะ ถ้าวันสองวันก็ว่าไปอย่าง"  ยุริเผยข้อกังวลของตนให้สิทธิ์ฟัง

                     "นายก็ลองคุยกับแม่ดี ๆ สิ เดี๋ยวท่านก็คงอนุญาตให้ไปเองแหละ อย่ากังวลเลย"

                     "นายว่างั้นเหรอ แต่เราก็ยังกังวลอยู่ดี" 

                     "ใช่ เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกชายคนโตและคนเก่งอย่างนาย มีหรือท่านจะขัด เราว่า

ท่านคงไม่ขัดข้องหรอก หรือไม่นายก็ชวนเจ้าก้องน้องชายของนายไปด้วยอีกคนก็ได้  เราเองก็จะชวนเจ้าตั้ม

ไปเช่นกัน ไปหลายคนสนุกดี"

                     "ก้องหรอ" ยุริหมายถึงนครินทร์ซึ่งเป็นน้องชายคนเดียวของตน "เจ้านี่พูดเก่งสุด ๆ"

                    "ใช่ น้องชายของนายพูดเก่ง ฉลาดแกมโกงอีกต่างหาก ฮ้า ๆ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก  เออ ยุริ

 ถึงบ้านเราแล้วเดี๋ยวเราเข้าบ้านก่อนนะ แล้วอย่าลืมเรื่องไปเที่ยวล่ะ" สิทธิ์พูดพลางแยกเดินเข้าบ้านของตน

                    "เออ เราไม่ลืมหรอก แล้วเจอกัน" ยุริพูดก่อนที่จะเดินเลยไปทางบ้านของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก

บ้านของสิทธิ์เท่าใดนัก

                                                           .........................................................


        2.

    

                 "กลับมาแล้วครับ" ยุริส่งเสียงใสเมื่อเห็นแม่เดินมาหน้าบ้านพร้อมบัวรดน้ำต้นไม้ในมือ

                 "อ้าว กลับมาแล้วหรือลูก วันนี้ไปไหนมาล่ะ" นางยิ้มแย้มเมื่อเห็นลูกชายกลับมา

                 "ไปเล่นบ้านเพื่อนมาครับ"

                 "เหรอ งั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว จะได้ทานข้าวกัน น้องรออยู่ในบ้านแน่ะ เดี๋ยวแม่ขอรดน้ำ

ดอกไม้พวกนี้ก่อน"

                 "เอ่อ แม่ครับ เดี๋ยวผมอาสารดน้ำดอกไม้เองนะครับ" ยุริพูดพลางยื่นมือจับถือถังบัวรดน้ำไปจาก

มือแม่ของตน

                  "เอ๊ะ ! ลูกคนนี้ วันนี้มาแปลกแฮะ" นางมองหน้าลูกชายอย่างสงสัย "ต้องมีเรื่องอะไรให้แม่ช่วยแน่

 ๆ เลยใช่ไหม" นางพูดอย่างรู้ทันท่าทีลูกชาย

                  "โถ่! แม่ครับ ผมจะขยันขึ้นมาบ้างไม่ได้หรือครับ" น้ำเสียงอ้อนวอน

                  "แต่แม่ว่าไม่ใช่น๊า  นี่ตายุริมีอะไรก็บอกกับแม่มาตรง ๆ ได้เลยลูก" 

                  "อ่า ครับ" จากที่ไม่กล้ายุริจึงตัดสินใจพูดขอผู้เป็นแม่ออกไป

                  "คือว่าผมจะมาขออนุญาตไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ สักอาทิตย์หนึ่งน่ะครับแม่"

                  "ไปเที่ยว 1 อาทิตย์" เสียงอุทานดังขึ้น "ไปเที่ยวที่ไหนลูกตั้ง 1 อาทิตย์น่ะ บอกแม่มาสิ" นางพูด

อย่างอดห่วงกังวลไม่ได้

                  "ก็ว่าจะไปเที่ยวเขาพระวิหารกันนะครับ" ยุริตอบด้วยน้ำเสียงมีหวังว่าจะได้ไปแน่ ๆ

                  "แล้วจะไปยังไง ไปเท่าไร กี่คน และจะพักที่ไหน" นางถามเป็นชุดด้วยว่าห่วงลูกชาย เพราะที่ผ่าน

มานางไม่เคยปล่อยลูก ๆ ให้ไปเที่ยวไหนมาไหนลำพังนานเช่นนี้เลย ซึ่งหากจะไปเที่ยวหรือทำบุญที่ไหนทุก

ครั้งสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดก็จะไปพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ

                    "ก็ไปประมาณ 3-4 คนครับ มีเจ้าสิทธิ์  เจ้าอาจ ตัวผม  อ้อ แล้วยังมีเจ้าตั้ม น้องของสิทธิ์ก็ไป

ด้วยนะครับ เอารถกระบะบ้านเจ้าอาจไป ส่วนที่พักไม่ต้องห่วงครับ งานนี้รักษ์ธรรมชาติ คือ เอาเต้นท์ไป

กันเองครับ รับรองปลอดภัยสบายเฮ"  ยุริพูดจาระไนรายละเอียดเพื่อให้แม่สบายใจ

                     "ไม่ได้  แม่ไม่ให้ไป"

                     "โถ่! แม่ครับ พวกผมวางแผนตกลงกันหมดแล้วนะครับว่าจะไปอาทิตย์หน้านี้" 

                    "แต่แม่ไม่ให้ไป ฟังดูแล้วไม่น่าไว้ใจเลย แม่ไม่อนุญาต" นางพูดยืนยันจริงจัง

                    "แต่ว่า แม่ครับ.."  ก่อนที่ยุริจะได้อ้าปากพูดอะไรอีก ผู้เป็นแม่ก็พูดสำทับดับฝันอีกทีว่า

                    "ไม่ต้องแต่ แม่ว่าไม่ก็ไม่สิ  ไป้เข้าบ้าน" 

                     ยุริได้แต่อึกอักคอตกด้วยความผิดหวังเมื่อแม่ไม่ให้ไป แต่จนใจที่จะทำอย่างไรได้จึงจำต้องเดิน

เข้าบ้านไปอย่างเศร้าสร้อย พลางนึกกังวลเรื่องจะไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันไว้อย่างดิบดีแล้วที

เดียว ยุริเดินขึ้นไปถึงห้องนอนของตนกับน้องชายซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้าน พอดีเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็พบ

น้องชายกำลังดูรายการโทรทัศน์อยู่อย่างสบายอารมณ์

                       "อ้าวพี่ ไปไหนมาล่ะวันนี้ มาดูข่าวด้วยกันไหม ดูสิตอนนี้สหรัฐทิ้งระเบิดถล่มอัฟกานิสถาน

ใหญ่เลย น่าตื่นเต้นมากเลย นี่ถ้าผมเป็นทหารของสหรับนะผมจะบุกถล่มมันให้ราบ"  นครินทร์พูดจ้ออย่าง

เด็กวัยคะนอง

                       "เฮ้อ! เบื่อ  ข่าวเดิม ๆ ไม่เห็นมันจะรบกันจริง ๆ สักที มีแต่ทิ้งระเบิดขู่กันไปกันมา ชาวบ้าน

โดนลูกหลงตายกันเป็นเบือ" 

                       "เออนี่ พี่ อีก 2 - 3 เดือนข้างหน้าไม่ใช่พี่จะต้องไปเกณฑ์ทหารหรอ"

                       "ใช่ ทำไม"

                       "ก็ ผมว่าพี่น่าจะสมัครเป็นทหารเลยดีกว่านะ มาดทหารแต่ละคนเท่จะตาย อีกอย่างผมจะ

ได้มีพี่ชายเป็นทหาร อวดเพื่อน ๆ โก้ไปเลย ดูอย่างไอ้สุนเพื่อนผมสิพี่มันเป็นทหาร ผมน่ะอิจฉาจริง ๆ"

 นครินทร์พูดอย่างออกรสเป็นเรื่องเป็นราว

                       "อ้าว อยากเป็นทหารก็สมัครเองสิ บอกพี่ทำไม"

                       "ผมกว่าจะถึงเกณฑ์ทหารก็อีกนานเลยแหละ ตั้ง 7 ปี แน่ะ แต่พี่สิเดือนเมษานี้ก็จะได้ไปเกณฑ์

ทหารแล้ว ผมก็เลยว่า....." นครินทร์พูดยังไม่ทันจบดียุริก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

                        "อ๋อ! นี่เราอยากให้พี่เป็นทหารมากงั้นสิ"

                        "ครับ พอถึงตอนนั้น ผมจะได้ยืดว่ามีพี่เป็นทหารกล้า" นครินทร์ลุกขึ้นตะเบะท่าอย่างทหาร

พูดขึงขังจริงจังและต้องการให้พี่ชายของตนได้เป็นทหารอย่างที่สุด

                        "นี่ ไอ้คุณน้องก้อง พี่มีภาระจะต้องเรียนให้จบมหาลัยปี 4 จะได้เอาปริญญามาฝากแม่ แล้วนี่

พี่พึ่งอยู่แค่ปี 2 เอง จะให้พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก" ยุริอธิบายเหตุผลเพื่อให้น้องชายเข้าใจ

                        "งั้นก็แล้วแต่พี่ละกัน ถ้าเป็นผมนะผมจะสมัครทหารแน่นอน" นครินทร์ยังคงวนอยู่กับ

เรื่องสมัครทหารเช่นเดิม

                        "ดูท่าจะชอบทหารมากเลยเนอะ  สาธุ พ่อทหาร ขอให้นายก้องน้องชายของผมได้เป็นทหาร

สมใจทีเถอะ เจ้าประคู้ณ" ยุริพูดพลางยกมือพนมท่วมหัว แกล้งหยอกน้องเล่น ทำให้นครินทร์หัวเราะร่าใน

ท่าทางของพี่ชาย

                        "เออนี่ ก้อง โรงเรียนนายปิดเทอมหรือยัง" 

                        " ปิดแล้ว ทำไมหรอ" นครินทร์สงสัยคำถามผู้พี่

                        "พี่ว่าจะชวนไปเที่ยวเขาพระวิหารนะสิ สนไหม" ยุริพูดกับน้องอย่างดีใจเหมือนหนึ่งว่า

จะมีตัวช่วยให้ตนได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว

                        "ดีสิพี่ แล้วจะไปวันไหหนกันล่ะ" นครินทร์ถามพี่ชายด้วยความกระตือรือร้นจนไม่สนใจข่าว

ในโทรทัศน์อีกต่อไป

                         "อาทิตย์หน้านี้แหละ แต่มีข้อแม้ว่านายจะต้องไปขออนุญาตแม่ให้ได้ก่อน" ยุริตั้งเงื่อนไข

                        "ก็ได้  เดี๋ยวผมจะไปขออนุญาตแม่ให้เอง" 


                                                          ....................................................................


                  3.


                     "แม่ครับ ผมมีเรื่องที่จะมาขออนุญาตแม่ครับ" นครินทร์พูดขึ้นระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งร่วมโต๊ะ

อาหารเย็นกันอยู่ภายในห้องโถงกลางบ้าน  ผู้เป็นแม่ชะงักหันมาทางลูกชายคนเล็ก

                      "มีเรื่องอะไรล่ะ ฮึ ตาก้อง" นางพูดด้วยแววตาเอ็นดู

                      "คือ ผมมาขออนุญาตแม่เรื่องไปเที่ยวแทนพี่ยุรินะครับ" นครินทร์พูดตรงไปตรงมาด้วยความ

ซื่อ จนยุริซึ่งนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ ต้องสะดุ้งกลัวผู้เป็นแม่จะตำหนิตนเองที่ใช้ให้น้องออกหน้าแทน

                        "เฮ้ย ไอ่ก้อง" ยุริอุทานทันควันเมื่อได้ยินน้องชายกล่าวอ้างชื่อของตนขึ้นมา

                        "ตอนนี้โรงเรียนของผมและที่มหาลัยของพี่ยุริก็ปิดเทอมกันหมดแล้ว พวกผมก็อยากได้ไป

เที่ยวพักผ่อนบ้าง ชีวิตจะได้สดชื่น ดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ นะครับแม่" นครินทร์พูดอ้างเหตุผลต่อไป

                        "นี่เราคงจะมาพูดแทนพี่ชายเราล่ะสิ" นางพูดถามอย่างรู้เท่าทันลูกทั้งสอง "ก็แม่บอกแล้วไง

ว่าไม่ให้ไป ถ้าเกิดอุบัติเหตุเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำยังไงล่ะลูก ไปเที่ยวกันเองห่างหูห่างตาพ่อแม่แบบนี้ แม่

อดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ"

                       "แม่ครับ" นครินทร์กระเถิบเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่ "พวกผมก็โต ๆ กันแล้วนะครับ ไม่ใช่เด็กแล้ว

และผมก็ช่วยเหลือตัวเองได้อยู่แล้วครับ แม่ไม่ต้องห่วงพวกผมหรอกนะครับ" นครินทร์ได้โอกาสจึงพูดต่อ

ทันทีเมื่อเห็นว่าแม่หยุดพูดและรับฟังสิ่งที่ตนกำลังขอร้อง

                        "อีกอย่างมีพี่ยุริไปด้วย พี่ก็ต้องดูแลผมอย่างดีใช่ไหมพี่" นครินทร์หันไปหาพี่เพื่อให้รับประกัน

ว่าทั้งสองพี่น้องจะดูแลกันและกัน

                          "แต่ยังไงแม่ก็..." ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบเสียงของภูบดินทร์ผู้เป็นสามีก็ขัดขึ้นมาว่า

                         "นี่คุณ อย่าไปห้ามลูกเลย ปล่อยให้เขาได้ไปเที่ยวสนุกสนานเฮฮา กับเพื่อน ๆ บ้างเถอะ ฝึก

ให้พวกเขาเข้มแข็งพึ่งพากันได้โดยไม่มีพวกเรา อีกอย่างพวกลูก ๆ ก็คงจะดูแลกันเองได้นะ" พูดพลางหันไป

ทางลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสอง

                          "เอ๊ะ! คุณนี่ก็แปลก ชอบเข้าข้างลูกอยู่เรื่อยเลย จนพากันได้ใจหมดแล้วเนี้ยะ" นางหันมา

ค้อนใส่ผู้สามีที่ไม่ยอมช่วยทัดทานลูก ๆ 

                           "เฮอะน่า คุณไม่ต้องห่วงลูกจนเกินเหตุไปหรอกน่า ลูกเราฉลาดและเอาตัวรอดได้ทุก

สถานการณ์อยู่แล้ว จริงไหม"

                           "ใช่ครับ พ่อพูดถูก น้ะครับแม่ ให้พวกผมไปเที่ยวนะครับ" นครินทร์ทำน้ำเสียงออดอ้อน จับ

มือแม่เขย่าเบา ๆ พูดเสริมขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพ่ออยู่ข้างพวกตนเสียแล้ว นางนิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า

                           "เอ้า แม่อนุญาตให้ไปก็ได้ แต่ครั้งนี้เท่านั้นนะ อีกอย่างตายุริรับปากแม่ว่าจะต้องดูแลน้อง

ให้ดีด้วยล่ะน้องยังเด็ก"

                          "ครับแม่ รับรองผมจะดูแลเจ้าก้องอย่างดีที่สุดเลย ขอบคุณแม่และพ่อมากนะครับที่อนุญาต

ให้พวกผมไปเที่ยว" ยุริพูดด้วยความดีใจสุดขีด พร้อมกับลุกขึ้นไปสวมกอดแม่ทีหนึ่งพ่อทีหนึ่งอย่างสุขใจ

 ส่วนนครินทร์เองก็จับมือแม่เขย่าเบา ๆ กระโดดไชโย ๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจพอ ๆ กับผู้เป็นพี่ชายของตน

 นี่ต้องยกความดีความชอบให้เจ้าก้องสะแล้วที่พูดจนแม่อนุญาตให้ไปเที่ยวได้ ยุริคิดอยู่ในใจ

                          "เอ้า อย่ามัวแต่ดีใจกันอยู่เลย รีบ ๆ ทานข้าวเถอะเดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมดหรอก แม่อุตส่าห์

ทำสุดฝีมือนะนี่" นางเรียกลูก ๆ ให้นั่งลงทานข้าวฝีมือนาง

                         "ครับ ๆ กับข้าวฝีมือแม่อร่อยสุดยอดอยู่แล้ว ผมให้ 5 ดาวเล้ย" นครินทร์พูดเอาใจแม่ของตน

ด้วยการชมฝีมือทำกับข้าวของแม่ไม่ขาดปาก

                         "ยอแม่อีกแล้วนะลูกคนนี้ ช่างพูดจริงนะเรา" นางมองลูกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


                                                    ...............................................................


                    4.


                    อาทิตย์ถัดมาสองพี่น้องต่างขะมักเขม้นเตรียมข้าวของเครื่องใช้ของตนตามจำเป็นซึ่งในความ

คิดของทั้งสองสิ่งที่บรรจุลงเป้เทั้งหมดล้วนจำเป็นทั้งนั้น โดยจัดลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ถึงแม้ของที่นำบรรจุ

ลงเป้จะมีทั้งของจำเป็นจริง ๆ และของจุ้กจิ้กต่าง ๆ แต่ทั้งคู่ก็ถือว่ามีดีกว่าไม่มี สิ่งไหนจำเป็นและสะดวกก็

เอาไปด้วย อีกอย่างไปค้างแรมกันตั้ง 1 อาทิตย์ทุกอย่างทั้งของกินของใช้ ยา ต้องเตรียมพร้อมให้ครบ เด็ก

ทั้งสองเป็นคนรอบคอบเสมอตามที่พ่อแม่ได้อบรมสั่งสอนไว้

                    "เตรียมสำภาระของนายเสร็จหรือยัง ก้อง" ยุริตะโกนเรียกน้องชายจากชั้นล่าง

                    "ครับ เสร็จพอดีเลย" นครินทร์ขานรับพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินลงบันไดบ้านมา

                    "นี่อีกแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ก็จะถึงเวลานัดแล้วรีบไปกันเถอะ" ยุริยกมือดูนาฬิกาพลางยกเป้ใบใหญ่

ของตนขึ้นใส่บ่า ส่วนนครินทร์ก็เดินสะพายเป้ใบใหญ่ไม่แพ้กันตามพี่ชายออกมาอย่างรีบร้อน

                   "พ่อครับ แม่ครับ ผมไปก่อนนะครับ" ยุริยกมือไหว้กล่าวลาบุพการีทั้งสองที่เดินมาส่งหน้าบ้าน

 จากนั้นก็ดุ่มเดินมุ่งตรงไปบ้านของอาจทันทีตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่แรก

                     "ผมลาก่อนนะครับ พ่อ แม่ เดี๋ยวขากลับผมจะซื้อของมาฝากนะครับ" นครินทร์ไหว้ลาพ่อแม่

ของตนเมื่อกำลังเดินออกมาถึงหน้าบ้าน

                     "จ้า ไปดีมาดีนะลูก แล้วอย่าลืมของฝากแม่ตามที่พูดล่ะ" นางพูดอวยพรลูกด้วยความรักและ

เป็นห่วง แต่ก็อดพูดทีเล่นทีจริงเรื่องของฝากไม่ได้

                      นครินทร์หันมาโบกมือยิ้มให้แล้วพูดว่า

                      "ครับ ผมไม่ลืมแน่ครับ" นครินทร์พูดให้คำมั่น ก่อนเดินลับหายออกจากหน้าบ้านมุ่งหน้าตาม

หลังพี่ชายของตนไป ภูบดินทร์กับสุคนธี ได้แต่ยืนเคียงกันส่งสายตามองตามหลังลูกชายทั้งสองด้วยความ

เป็นห่วงป็นใย  

                       "ขอให้คุณพระคุ้มครองลูกทั้งสองนะจ้ะ" นางพึมพำก่อนพาสามีเดินกลับเข้าบ้าน

                       ครู่หนึ่งทั้งสองพี่น้องก็พากันเดินมาถึงบ้านของอาจ ซึ่งพบว่าบรรดาเพื่อน ๆ ต่างก็มารวม

ตัวกันนำกระเป๋าสำภาระของตนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งพูดคุยกัยอยู่ก็พอดีเห็นยุริกับนครินทร์

สะพายเป้เดินเข้ามา

                       "สวัสดีเพื่อน รอนานไหม" ยุริพูดทักทายกลุ่มเพื่อนที่หันมองมาทางตน

                       "อ้าว ยุริ ก้อง สวัสดี ๆ พวกเราก็พึ่งมาถึงเมื่อกี้เอง" สิทธิ์กล่าวทักด้วยความยินดีเอ้า

                        "ไง หวัดดีเพื่อน" นครินทร์เดินเข้าไปแตะไหล่ทักทายตั้ม น้องชายของสิทธิ์ ทั้งสองสนิทสนม

เนื่องจากอยู่ห้องเรียนเดียวกัน 

                         "หวัดดี" ตั้มตอบ "นึกว่าจะไม่มา"

                          "มาดิเพื่อน งานนี้จะพลาดได้ไง" นครินทร์ตอบอย่างร่าเริง

                       "เอ้า ๆ รีบเอาของไปไว้บนรถเถอะจะได้ออกเดินทางกันเสียที ไปแต่เช้า ๆ จะได้ถึงไวแดดไม่

ร้อนด้วย"  อาจเร่งเร้า

                      "กระเป๋าใบใหญ่น่าดู คงไม่ได้คิดจะย้ายบ้านหรอกนะ ฮ้าๆ" สิทธิ์กระเซ้าเมื่อเห็นสองพี่น้อง

นำกระเป๋าเป้ใบใหญ่ดูหนักเอาการส่งขึ้นไปไว้บนหลังรถครอบครัวขนาด 7 ที่นั่งที่จะใช้เป็นพาหนะเดินทาง

ครั้งนี้

                       "แหม นายก็พูดเกินไป้ ฮ้า ๆ " ยุริพูดอย่างอารมณ์ดี

                        "เอาล่ะ ๆ พวกเราขึ้นรถกันเถอะได้เวลาแล้ว เดี๋ยวจะสาย ทุกคนเอาสำภาระขึ้นรถเรียบร้อย

แล้วใช่ไหม"  อาจตัดบทเมื่อเห็นว่าเวลาจวนสายแล้ว

                          เมื่อทุกคนขึ้นประจำที่พร้อมหมด รถครอบครัวคันหรูขนาด 7 ที่นั่งสีขาวสะอาด เงางาม ก็

พาทุกคนทะยานพุ่งลิ่วไปตามถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาสายโชคชัย-เดชอุดม มุ่งหน้าสู่อำเภอกันทร

ลักษณ์อันเป็นจุดหมายปลายทางทันที ทุกคนตื่นเต้นร่าเริง บ้างก็ร้องเพลงตลอดทางแสดงตัวตนและมีอิสระ

เต็มที่ที่นาน ๆ ครั้งจะได้มีโอกาสออกมาทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อน

                       รถที่มีอาจเป็นสารถีพาแล่นออกจากถนนสายหลักเลี้ยวเข้าสู่ถนนย่อยขรุขระคดเคี้ยวพาด

ผ่านท้องทุ่งนาซึ่งกำลังออกรวงสุกปลั่งเหลืองทองอร่ามไปทั้งสองข้างทางที่ผ่าน นาบางแปลงเห็นชาวนาก้ม

 ๆ เงย ๆ เกี่ยวข้าวอยู่เป็นกลุ่ม ถัดมาเป็นบึงใหญ่มีดอกบัวขาวขึ้นชูช่อบานสะพรั่ง ฝูงนกกระยางขาวปากยื่น

กำลังถลาบินมาลงบึงหาปลากิน ส่วนควายที่ชาวบ้านเลี้ยงแบบปล่อยกำลังนอนแช่น้ำเคี้ยวเอื้องอยู่ริมบึง

อย่างสบายอามรณ์

                          ขับรถมาได้อีกราวครึ่งชั่วโมงก็เข้าสู่เขตตัวอำเภอกันทรลักษณ์ ภายในตัวอำเภอมีผู้คนอยู่

มากโขพากันเดินซื้อข้าวของเครื่องใช้ละลานตาไปหมด นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็เยอะ เมื่อ

หาที่จอดได้เหมาะ ๆ อาจก็หยุดรถบอกให้ทุกคนลงเผื่อใครต้องการหาซื้อของจำเป็นหรือเข้าห้องน้ำให้

เรียบร้อยก่อนจะออกรถมุ่งหน้าสู่ตัวปราสาทเขาพระวิหารซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกราวสองชั่วโมง


                                                                  ...................................................


        5.

                        

                        



วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2563